ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๗ * *
~ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบให้เป็นมรดกที่ล้ำค่ากับชาวพุทธ ก็คือ คำจริงทุกคำที่เป็นประโยชน์ทั้งพระธรรมและพระวินัย เพราะฉะนั้น ทุกคนถ้าเห็นคุณอย่างนี้ บูชาคุณด้วยความเป็นผู้ตรง ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ประกาศคำสอนที่ถูกต้อง เพื่อให้คนอื่นได้มีโอกาสได้รู้ได้เข้าใจถูก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในชาติต่อๆ ไป
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงเรื่องของอกุศลมากทีเดียว เพื่อให้เห็นโทษ ถ้าใครที่ยังไม่เห็นโทษของอกุศล ก็ยังประมาทอยู่ เพราะคิดว่า มีกุศลพอแล้ว แต่ถ้าเห็นโทษของอกุศลมากๆ ก็จะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท
~ ฟังพระธรรม ประโยชน์ คือ จะได้รู้ว่าความจริงคืออะไร อะไรถูก อะไรผิด เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเคยได้ยินได้ฟังอะไรมามากสักเท่าใด แต่ถ้าได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง ก็สามารถที่จะรู้ว่า อะไรผิด แต่ถ้ายังไม่ได้ฟังสิ่งที่ถูกเลย ก็เชื่อว่าสิ่งที่ผิดๆ นั่นแหละถูก จนกว่าจะได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อพิจารณาเห็นความจริง เห็นความถูกต้องก็สามารถที่จะละความเห็นผิดได้ถ้าเป็นผู้ที่ตรง
~ เวลาที่อกุศลร้ายแรงเกิดขึ้น เห็นภัยของอหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) ใช่ไหม? จึงสามารถที่จะทำอย่างนั้นได้ ทุจริตกรรมต่างๆ นั้น ถ้าไม่มีการสะสมมาทีละเล็กทีละน้อยจะถึงขั้นที่จะทำทุจริตกรรมทำให้คนอื่นเดือดร้อนมากมายได้ไหม? ก็เป็นไปไม่ได้
~ ใครก็ตามที่ทำอกุศลกรรมแล้ว ที่จะพ้นจากการจะได้รับผลของอกุศลกรรมนั้น ไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ไม่ว่าจะอยู่บนอากาศ บนดิน ในถ้ำ ใต้น้ำ ก็ไม่พ้น
~ สิ่งที่สะสมมามากๆ นานแสนนาน (คือ อวิชชา ความไม่รู้) แล้วจะไม่เป็นปัจจัยให้อกุศลจิตเกิดได้ไหม? เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมดา ให้เข้าใจความเป็นธรรมดา ธรรมเป็นธรรมดา ใครจะไปบังคับ ใครจะไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
~ ขณะใดที่ความดีเกิดขึ้น ไม่ทำร้ายตนเองและไม่ทำร้ายคนอื่น อกุศลเป็นศัตรู แต่คุณความดีเป็นมิตร เรามีความดี คือ ความหวังดี เกื้อกูล อดทนที่จะให้คนอื่นเกิดปัญญา อดทนรอให้เขาเป็นคนดี ไม่ว่าคำพูดของเขาจะร้ายต่อเรา หรือจะทำอะไรต่อเราก็ตาม แต่ความเป็นมิตรที่แท้จริง จะทำให้สามารถอดทนคอยจนกระทั่งพระธรรมทำให้เขาเป็นคนดีได้
~ ถ้ารู้ว่าคนอื่นมีอกุศลอย่างไร ท่านเองก็มีอกุศลอย่างนั้น ก็เหมือนกัน ก็น่าที่จะเข้าใจและเห็นใจ และอดทนต่ออกุศลของคนอื่นได้ ถ้าท่านสามารถจะมีความอดทนต่ออกุศลของคนอื่นเพิ่มขึ้น ก็แสดงว่าพระธรรมได้ขัดเกลาจิตใจของท่าน ที่เคยไม่อดทนต่ออกุศลของคนอื่น เพราะรู้สึกว่าอดทนยากต่ออกุศลของคนอื่น แต่ถ้าในขณะนั้นเป็นกุศล จะรู้สึกว่าอดทนได้โดยไม่ยาก
~ ชีวิตทั้งหมดที่เกิดมา ค่า อยู่ที่เข้าใจธรรม เพราะว่า เกิดมามีแต่โลภะ (ความติดข้อง) โทสะ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ) และ กิเลสต่างๆ เหมือนเกิดมาเพื่อเก็บขยะจริงๆ อกุศลทั้งหลายเหมือนขยะ เหมือนเชื้อโรค ก็เก็บไปพอกพูนมากขึ้น แต่ขณะใดก็ตาม ที่เป็นความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ขณะนั้น มีค่าที่สุดในชีวิต
~ เพียงอกุศลธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกได้ว่า แม้อกุศลธรรมอื่นๆ ก็ยังมีอยู่มากด้วย จึงเป็นผู้ที่จะเห็นความน่ารังเกียจของอกุศลธรรม ซึ่งมีอยู่ในตนได้ เพราะเหตุว่ามักจะรังเกียจอกุศลธรรมที่มีอยู่ในบุคคลอื่น แต่ว่าผู้ที่ฉลาดจะต้องเป็นผู้ที่รังเกียจอกุศลธรรมที่มีอยู่ในตน
~ เป็นธรรมทุกขณะ อย่าลืม ไม่มีขณะไหนเลย ซึ่งไม่ใช่ธรรม หลายท่านทีเดียวอยากจะพบธรรม อยากจะเห็นธรรม แสวงหาธรรม แต่ว่าธรรมกำลังมีอยู่ในขณะนี้ กำลังปรากฏทุกหนทุกแห่ง เป็นสภาพธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแสวงหาธรรมเลย เพราะธรรมกำลังปรากฏอยู่แล้ว จะรู้ธรรม ก็รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามความเป็นจริง จะเห็นธรรม จะเข้าใจธรรม ก็ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าที่ไหน
~ เรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ที่จะละคลายกิเลส เป็นเรื่องที่ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป จริงๆ แม้แต่ในขั้นของความเข้าใจ ถ้าฟังพระธรรมอยู่เรื่อยๆ พิจารณาธรรมอยู่เรื่อยๆ ก็จะเห็นได้ว่า ความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากตอนต้นนี้มาก แต่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่ไม่มีกำหนดรู้ได้ว่า เพิ่มขึ้นมากในตอนไหน แต่จะต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เรื่อยๆ
~ อวิชชา เป็นสภาพที่มืด ทำให้ไม่รู้ความจริง ไม่เห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล และก็ไม่เห็นหนทางที่ถูกที่ชอบที่ควรจะกระทำ เพราะฉะนั้น ก็ทำให้คิดก็คิดผิด ทำก็ทำผิด พูดก็พูดผิด แต่ว่าถ้าในขณะใดที่ปัญญาเกิดขึ้น ขณะนั้นเห็นอกุศล แล้วก็ยังเห็นความน่ารังเกียจของอกุศล เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ในขณะนั้น ก็เป็นผู้ที่คิดถูก ทำถูก พูดถูก
~ จะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ก็เป็นของธรรมดา แต่ความเห็นผิด ควรอย่างยิ่งที่จะรีบละทิ้ง ไม่เก็บสะสมต่อไป เพราะเหตุว่า ถ้าสะสมต่อไป ก็เป็นโทษและไม่สามารถที่จะละได้
~ กุศลคือความดีทั้งหมดควรกระทำ ไม่ควรเว้น แล้วสำหรับวันนี้มีกุศลอะไรที่ตนเองเว้นหรือเปล่าเล็กๆ น้อยๆ ขณะใดก็ตามที่กุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิด จะเห็นได้ว่า เพราะไม่รู้ จึงไม่บำเพ็ญกุศล
~ จุติจิต คือ จิตดวงสุดท้ายของชาตินี้ ที่ชื่อว่า จุติ เพราะเหตุว่าทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ หมายความถึงสิ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง ก่อนที่จุติจิตจะเกิด ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าเลย เหมือนกับเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่า ขณะต่อไปอะไรจะเกิด
~ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่คุ้นเคย ก็ทำให้คิดถึงสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น หนทางเดียว คือ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ่อยๆ
~ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วสมควรอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนได้ฟังได้พิจารณาได้ไตร่ตรอง เพราะเหตุว่า ทุกคำเป็นประโยชน์ เมื่อเข้าใจสิ่งที่เป็นประโยชน์และมีความหวังดีต่อคนอื่น จะไม่พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือ? เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีทางที่จะหยุดพูดคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า คำนั้นเป็นคำที่มีประโยชน์
~ งานที่สำคัญที่สุดในชีวิตทุกชาติในสังสารวัฏฏ์ ก็คือ งานละกิเลส ด้วยความเข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้น งานอื่นก็ชั่วครั้งชั่วคราวแค่เช้าถึงกลางวันบ่ายถึงเย็น แต่ว่างานนี้ทุกโอกาส และเป็นภาระหนักที่สุดใหญ่ที่สุดยากที่สุดด้วย แต่ถ้าไม่เริ่มทำ ก็ไม่มีทางที่จะทำงานนี้ได้สำเร็จ แต่งานนี้สำเร็จได้ทีละเล็กทีละน้อยด้วยการเข้าใจพระธรรม.
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๖
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาในกุศลค่ะ งานทางโลกก็ต้องทำ งานทางธรรม (ศึกษาพระธรรม) ยิ่งต้องพากเพียร