ไม่ประมาทในการเจริญกุศลและฟังธรรมทุก ๆ วัน
ให้คิดถึงความตายบ่อยๆ ชีวิตมีอยู่แต่ ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ถ้าลมหายใจเข้า แล้วไม่ออกก็ตาย ความตายไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมาย เพราะเราไม่รู้ว่า จะตายเวลาเช้า หรือเวลาเย็น วันนี้แข็งแรงดี พรุ่งนี้อาจจะป่วยตาย ด้วยโรคลมก็ได้ หรือหัวใจวายตาย ไม่มีใครรู้ว่าจะตายอย่างไรพิจารณาถึงพระพุทธเจ้า ก็ยังต้องปรินิพพานเลย ท่านผู้มีฤทธิ์ เช่น พระโมคคัลลานะ ก็ปรินิพพาน พิจารณาถึง สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ์ เช่น พระเจ้าอโศก เวลาท่านใกล้จะตาย ก็เหลือแค่ผลมะขามป้อมครี่งผลที่เป็นสมบัติ นอกนั้นก็เป็นของคนอื่น ที่ท่านว่าสมบัติผลัดกันชม ไม่มีใครเป็นเจ้าของ การพิจารณาถึงความตายบ่อยๆ ทำให้ไม่ประมาท ในการเจริญกุศลและฟังธรรมทุกๆ วัน
ที่ว่า "วันนี้แข็งแรงดี พรุ่งนี้อาจจะป่วยตายด้วยโรคลมก็ได้ หรือหัวใจวายตาย ฯลฯ" ทำให้ผมสงสัยว่า ในเมื่อเราทราบจากการศึกษาแล้วว่า คนเราตายจากโลกนี้เพราะจุติจิตเกิดขึ้น (สมมติมรณะ) ทำหน้าที่เคลื่อนภพชาติ โดยเมื่อจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที ดังนั้น การตายจากโลกนี้ไม่ได้เป็นเพราะการป่วยด้วยโรคใดๆ ทั้งสิ้น แต่เกิดจากวิบากจิตที่เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากภพนี้ไป ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นว่าจะต้องป่วยแล้วจึงตาย สุขภาพดี แข็งแรงก็ตายได้ หากถึงวาระที่จุติจิตจะเกิดขึ้น ใช่ไหมครับ
มนุษย์ตายเพราะสิ้นบุญแต่สัตว์ตายเพราะสิ้นกรรม ความตายมีหลายอย่าง บางคนตายเพราะอุบัติเหตุ บางคนตายเพราะหมดอายุ ตายด้วยโรคชรา ตายเพราะป่วยเป็นโรคร้ายแรง หรืออยู่ดีๆ หัวใจวายตายก็ได้ ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ
การคิดฆ่าตัวตายบ่อยๆ เป็นเพราะวิบากที่ต้องชดใช้ (ยังไงๆ ชาตินี้ก็ต้องตายแบบนั้น) ใช่ไหม เคยฟังพระสูตรว่าด้วยเรื่องพระภิกษุที่ฆ่าตัวตาย เพราะความเจ็บป่วย จิตที่เป็นโทสะมากถึงขั้นนั้น ยังมีโอกาสเจริญสติจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ถ้าสะสมมาที่จะฆ่าตัวตาย ... ก็ต้องตายแบบนั้น (ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ) บังคับบัญชาไม่ได้ จริงไหม