รวบรวมสารธรรม ตั้งแต่ 25 เม.ย. - 30 พ.ค. 2563
ช่วงที่เกิดโรคภัย โรคโควิด-19 ไม่ได้มีการสนทนาธรรมที่มูลนิธิ แต่เพราะความเมตตาของ ท่านอาจารย์ ก็โทรศัพท์ สนทนาออนไลน์ ให้สมาชิก ชมรมบ้านธัมมะ มศพ.และสหายธรรมที่สนใจพระธรรมได้มีโอกาสฟัง ซึ่งการสนทนาธรรมเป็นการเน้นย้ำความเข้าใจธรรม การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องและผิดทาง อันเป็นการช่วยเตือนผู้ที่ยังเข้าใจผิด ศึกษาธรรมผิดทางแต่ได้สะสมความเข้าใจถูกมา ได้ฉุกคิดกลับมาสู่การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องและผู้ที่ศึกษาธรรมถูกแล้ว ในหนทางคือ ความเข้าใจธรรมไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา ก็มั่นคงเพิ่มขึ้นในความไม่ใช่เราเป็นธรรม
ได้มีโอกาสทำหน้าที่ถ่ายทอดสนทนาธรรมทางยูทูป เฟซบุ๊ก นับเป็นช่วงเวลาอันมีค่าอีกครั้ง ที่ได้ฟังคำจริงจากท่านอาจารย์ เพราะประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม การทำหน้าที่เผยแพร่พระธรรม คือ เพื่อรู้และละคลายกิเลส โดยเฉพาะการละความยึดถือว่าเป็นเรา และการได้ฟังสนทนาครั้งนี้ก็เป็นคำเตือนที่มีค่ามากๆ ในจุดประสงค์ของการศึกษาธรรมที่ถูกต้องและผิดทางคืออย่างไร และ หากเป็นผู้ละเอียดขึ้นก็จะรู้ว่า คำเหล่านี้ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวช่วงนี้ ท่านได้เคยกล่าวไปแล้วในการสนทนาครั้งก่อนๆ อย่างมากมาย เพียงแต่อาจจะข้ามเพราะปัญญาไม่ละเอียดพอ จึงข้ามแม้คำว่า ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม อนัตตา ดังนั้น จึงขอรวบรวมคำสนทนาของท่านอาจารย์ที่เป็นสาระและยูทูปสนทนาธรรมทุกๆ ครั้งที่ได้ถ่ายทอดให้สหายธรรมได้อ่าน ทบทวน ย้ำเตือน เพื่อเพิ่มพูนความเข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม กลับมาศึกษาในหนทางที่ถูกต้องตามความเป็นจริง อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษาพระธรรม สะสมต่อไปในภพหน้าจนถึงการดับกิเลสได้ในที่สุด จึงขอกราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์ มา ณ ที่นี้ ในความเมตตาอย่างยิ่งครับ และอนุโมทนาในกุศลจิตของสหายธรรมทุกท่านที่สนใจรับฟังครับ
ก่อนอื่น ขอยกข้อความสนทนาในบางวันที่มีค่า ที่แสดงจุดประสงค์การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องและผิดทางดังนี้ครับ
ท่านอาจารย์ คุณค่าของชีวิตที่เหลืออยู่ คือค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา อนัตตา
ท่านอาจารย์ ประโยชน์ของการศึกษาธรรมอยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้นเราไม่ได้จบแค่ปัญจทวารวิถี มโนทวารวิถี ถึงชวนะ เขาจะรับต่อไหม มันจะต่อไปอีกทุกคำที่ผ่านหูเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็สะสมความไม่รู้และความสงสัย แทนที่จะรู้ว่าความเป็นจริงมันดับหมดแล้ว มันไม่มีแล้ว จึงไม่ใช่เรา : การเข้าใจว่าไม่ใช่เราจึงเป็นประโยชน์สูงสุด : ทำไมถึงเป็นประโยชน์สูงสุด เพราะเราไปติดคำว่าเรามาในสังสารวัฏฏ์ จะไปเอาออกได้ยังไงในเมื่อมันผิด ก็มีแต่คำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงตรัสรู้ ระดับปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าระดับไหน แล้วได้ยินคำต่างๆ ก็จะไปอยากรู้หมดเลย โวฏฐัพพนะ อย่างนั้นอย่างนี้ก็คิดไป เพราะเจอคำอะไรอีกก็คิดไป เจอคำอะไรก็คิดไป รับรองได้ด้วยความเป็นเรา ฟังธรรมด้วยความเป็นเรา ไม่รู้เลยว่าประโยชน์จริงๆ คือ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจว่าไม่มีเรา อีกนานเท่าไหร่ แล้วเรามัวเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้ แล้วต่อไปจะอีกนานเท่าไหร่ เพราะว่าความเป็นเราในแสนโกฎกัปสะสมมาเท่าไหร่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากี่พระองค์ผ่านไปแล้วกี่พระองค์ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร ไม่นับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ และไม่นับพระพุทธเจ้าที่ยังไม่มาถึง ความไม่รู้ของเราก็สะสมมากขึ้น แล้วเราก็มาจับคำของพระพุทธเจ้าแล้วก็มานั่งสงสัยด้วยความเป็นตัวตน ว่าเอ๊ะเรายังไม่รู้ตรงโน้นตรงนี้ เรายังสงสัยตรงนี้ เราอยากรู้ตรงนี้ รู้ไหมว่ากำลังจะถามว่า อยากรู้ ไม่เห็นตัวนี้เลย แล้วอริยสัจจธรรมจะปรากฎได้อย่างไร ในเมื่อทุกขอริยสัจจะ ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้อะไรก่อน จะไปนั่งรู้โวฏฐัพพนะ เหรอคะ แค่ได้ฟัง ไม่มีทางที่จะรู้ได้ แล้วประโยชน์อยู่ตรงไหน แต่เห็นกำลังมี ตรงนี้ซิ เห็นจริงๆ ติดข้องจริงๆ ก็ต้องฟังจนกว่าจะคลายความไม่รู้ เพื่อประโยชน์ว่าไม่ว่าโลภะเกิด แม้เมื่อกี้ที่อยากจะรู้ชื่อ ก็รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะดับ ละความเห็นผิดได้เลย เพราะฉะนั้นโลภะเป็นสมุทัยก็ไม่ได้ละเลย เพราะฉะนั้นก็ฟังเป็นเรื่องเป็นราวไปทุกชาติ ก็ได้แค่นั้นแหละ และก็ได้ความสงสัยเพิ่มขึ้นและก็ได้ความเป็นเราเพิ่มขึ้น
ไม่ใช่เอาคำเยอะๆ มาใส่เต็มที่ มีความติดข้อง ต้องการ แล้วเอาอะไรมาที่จะเข้าใจธรรม ไม่ใช่ไปหาคำ นี่คือความต่างกัน ไม่งั้นเราก็หลงไปเป็นเรื่องศึกษาเป็นปริเฉท ปัจจัยต่างๆ แล้วขณะนี้เข้าใจอะไร ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ไปติดในคำ
เข้าใจไหมคะ ว่ากำลังเรียนศึกษา คือ เข้าใจขณะนี้ แต่ฟังไป ฟังไป ยังไม่รู้ตรงนี้ จะรู้ตรงนี้ ยังไม่พอๆ แล้วชีวิตนี้สั้นหรือยาว แล้วประโยชน์ที่ควรจะเข้าใจคืออะไร ชื่อหรือ แต่คือเข้าใจขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เรียนเพื่อเข้าใจความจริงค่ะ
สารธรรม 30 พ.ค. 63 ช่วงบ่าย
ท่านอาจารย์ ละชั่วบอกให้ทำหรือเปล่า หรือ ให้รู้ ถ้าไม่รู้แล้วจะละได้หรือ
บอกว่าอย่าติดข้อง คนพูดบอกเขาอย่างนั้นฉลาดหรือเปล่า เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
ความตายถ้าไม่รู้ว่าเป็นธรรมดาจะร่าเริงไหม ถ้าคิดว่าเราจะตายกับถ้ารู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เราเกิดขึ้นและดับไป จะร่าเริงไหม เพราะฉะนั้น ปัญญากลัวอะไรไหมคะ เพราะ ความตายก็เหมือนเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ตายทุกขณะจิต
เดี๋ยวนี้มีไหมคะ ความเป็นเรา จนกว่าจะประจักษ์แจ้งจริงๆ ก็จะหมดสงสัย ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรามีแต่ธรรม
ยังไม่ทันคิด แค่เห็น เห็นเป็นโลกไหม ก็เป็นโลก จำเป็นโลกไหม จำก็เป็นโลก เพราะอะไรที่มีจริงเกิดขึ้นและดับไปเป็นโลก
ทุกคนตายทุกขณะ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ตายทุกขณะ แต่ตายเป็นแบบสมมติ คือ วันนี้ก็ได้ เย็นนี้ ที่เราคิดว่าเป็นโลกใหม่ แต่แท้ที่จริงก็คือ แค่ขณะจิตที่สืบต่อกันเท่านั้น
ทุกขณะไม่เหลือเลย ตายทุกขณะ ขณิกมรณะ ไม่ว่าอะไร โลกนี้ โลกก่อน โลกหน้า เหมือนกันเลย ตายเกิด ตายเกิด เป็นแค่เกิดดับแต่ละขณะจิตเท่านั้น ทุกอย่างเป็นธรรมดา ดังนั้นความเข้าใจจะติดตามไป เหมือนที่เคยเข้าใจมาแล้ว และเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็จะได้ยินได้ฟังอีก ซึ่งไม่รู้ว่าช้าหรือเร็ว แค่นั้นเอง ความดีและความเข้าใจธรรมจึงขึ้นอยู่กับแต่ละคน
สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ตรงกับขณิกมรณะ และ สมมติมรณะ คือ จากคนนี้แล้วตายไป ก็ไม่มีคนนี้อีก แต่ มีจิตเกิดดับสืบต่อไปเรื่อยๆ เป็นขณิกมรณะ จนกว่าจะไม่มีการเกิดอีก คือ สมุจเฉทมรณะ
สารธรรม 30 พ.ค. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่เกิดดับที่เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นโลก เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย จะมีโลกไหม ไม่มีเลย ดังนั้นอยู่ในโลก แต่ไม่รู้จักคำว่าโลก ตั้งแต่เกิดจนตาย คำของพระองค์จึงต่างจากที่เราเคยเข้าใจ
ขณะที่รู้แข็ง ขณะนั้นมืดสนิท ขณะนั้น มีแต่แข็งและรู้แข็ง เราไม่มีเลย แต่พอรู้แข็งดับไป ก็มีโลกทางอื่นเกิดต่อ เกิดดับสลับกันเร็วมาก จึงยึดถือว่ามีเรา มีสิ่งต่างๆ แล้วที่ปรากฎสว่างตลอด คือ ทางตา แค่ จักขุวิญญาณเท่านั้นที่ทำกิจเห็น แต่จิตอื่นที่เกิดต่อ ไม่ได้ทำกิจเห็น เห็นไหมคะว่า เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ไม่ได้ปรากฎตามเป็นจริง แต่ค่อยๆ อบรมปัญญาไปเรื่อยๆ ปัญญาก็ปรากฎรู้ความจริง เป็นวิปัสสนา
เบาสบายไหมคะ ถ้าพ้นจากความหนักที่อยากรู้ ไปขวนขวายไปทำอะไรผิดๆ
โรคอะไรร้ายสุดคะ โรคไม่รู้ค่ะ กินยาก็ไม่หาย หมออะไรก็รักษาไม่ได้ นอกจากหมอเดียวคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในพระไตรปิฎก ที่แสดงว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว และยังมาไม่ถึงเพื่อเข้าใจเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ว่าไม่ใช่เรา
เจ็บเป็นคิดไหม ถ้าเจ็บเป็นคิด คงเจ็บตลอดเลย เพราะคิดตลอด เจ็บเป็นเจ็บ เจ็บไม่ใช่คิด
ใครเขาบอกศึกษาธรรม แต่ไม่เข้าใจธรรมขณะนี้ เดี๋ยวนี้ จะชื่อว่าศึกษาธรรมได้ยังไง
สารธรรม 29 พ.ค. 63 ช่วงเย็น
ท่านอาจารย์ ความผูกพันก็เป็นความผูกพัน ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฎจะผูกพันไหมคะ ก็ไม่ผูกพัน แต่เพราะมีสิ่งที่ปรากฎ จึงผูกพัน แล้วผูกพันกับเห็นไหม ผูกพันแล้วกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ผูกพันเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยให้เกิด เป็นธรรมดาค่ะ ผูกพันหมดเลย ในสิ่งที่ปรากฎเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส อยากได้ความผูกพันไหมคะ อยากได้ ถึงได้ผูกพัน แต่ที่ไม่รู้ คือ ผูกพันในสิ่งที่ไม่มี เกิดดับแล้ว ผูกพันกับความว่างเปล่า หลงผูกพันในสิ่งที่คิดว่ามีอยู่ เมื่อชาติก่อนผูกพันกับใครมากแค่ไหน ลืมหมดแล้ว ถ้าไม่เคยเห็นดิฉันเลย จะผูกพันกับดิฉันได้ไหม เพราะฉะนั้นความจริงมีชั่วขณะที่ปรากฎและเกิดดับสืบต่อกันหมดไป แต่จะไม่ผูกพันได้ ก็ด้วยประจักษ์จริงในสิ่งที่ประจักษ์แจ้งว่าเป็นธรรม ที่เกิดดับหมดไป
ทุกข์สุขเกิดแล้ว สุขก็มี ทุกข์ก็มี นินทาก็มี สรรเสริญก็มี เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีใครทำ เกิดแล้ว ดับหมดแล้ว แต่เพราะความไม่รู้ก็เลยคิดว่า เขาว่าเรา เราทุกข์ เห็นไหมคะ ถ้าไม่มีปัญญาเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราก็เดือดร้อน เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงประเสริฐที่สุด
ไม่ว่าจะได้อะไรมาก็ได้พร้อมความติดข้อง แสดงถึงธรรมที่ไม่ใช่เรามีความหลากหลายมาก ได้อะไรมาก็ดีใจ แต่ก็ได้มาพร้อมความติดข้อง เคยคิดบ้างไหมว่าได้อะไรมาพร้อมความติดข้อง และลึกลงไปกว่านั้น แม้ไม่ได้ก็มีโลภะอยู่แล้ว ลืมตามาก็ติดแล้ว ซึ่งต้องรู้ว่าเป็นเรื่องละ แต่ไม่ใช่เราที่ละ และถ้าไม่รู้จักโลภะจะละได้อย่างไร
พระไตรปิฎกที่ทรงแสดงทั้ง 3 ปิฎก จึงเพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม แต่ไม่ใช่ไปเพียรด้วยความเป็นเรา ที่จะทำ บอกให้ทำ จะง่ายอะไรอย่างนั้นเลยหรือคะ แล้วรู้อะไร
สารธรรม 29 พ.ค. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ทำหรือเปล่าคะ เห็นหรือเปล่าคะ เพราะฉะนั้นเห็นเกิด เห็นทำอะไรหรือเปล่า ดังนั้นเห็นก็ทำ ทำหน้าที่เห็น เกิดขึ้นรู้ แค่นี้ยากไหม แต่ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ จะละความเป็นเราเห็นได้ไหม ไม่ได้เลย แค่นี้จะนำไปสู่ความเข้าใจเห็น ดีกว่าจะไปรู้ชื่อคำอะไรเต็มไปหมด เข้าใจธรรมไหมคะ นี่คือประโยชน์ของการฟัง
ไม่ใช่ครั้งนี้เป็นการฟังครั้งสุดท้ายที่จะเข้าใจธรรม มีธรรมอีกเยอะเลย และที่พูดที่ผ่านมาก็เหมือนเลยที่เคยพูด แต่เราข้ามๆ เพราะปัญญาไม่ละเอียดพอ
สุเมธดาบสได้ฟังคำพยากรณ์จะได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ก็เป็นผู้ไม่ประมาทว่าอะไรเป็นสัมภาระเป็นเครื่องประกอบคือบารมี ให้เกิดปัญญา คือ กุศลทุกๆ ประการ ดังนั้นจะดับกิเลสได้ก็ให้อกุศลเบาบางด้วย สุเมธดาบส จึงพิจารณาว่าอะไรเป็นบารมีที่จะทำให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดังนั้นถ้าไม่ทำความดีสักอย่างเดียว จะถึงการละกิเลสได้ไหม และเมื่อมีสัพพสัมภารภาวนา คือ การเจริญกุศลทุกๆ ประการ ก็ต้องมีสักกัจจภาวนา เจริญกุศลอบรมปัญญาด้วยความเคารพในคำจริงของพระพุทธเจ้า ด้วยการเคารพในสิ่งที่ได้ฟังเพื่อเข้าใจความจริง และ ก็อบรมด้วยความยาวนาน คือ จิรกาลภาวนา และก็อบรมสืบต่อไม่มีระหว่างขั้นเป็น นิรันตรภาวนา ทุกๆ ชาติที่เกิดมา ค่ะ
ไม่ใช่อยากไปทำบารมี ทำทานบารมี แม้ไม่พูดว่าร้ายคนอื่น ไม่คิดร้ายคนอื่น แต่เข้าใจถูกว่าในขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา ตรงนี้สำคัญที่สุด อย่างโกสิยเศรษฐี ตระหนี่มาก แต่ก็สะสมปัญญาบารมีมา ก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ทาน ไม่ใช่แค่การให้ แม้การให้อภัย ไม่โกรธ ให้อภัยได้ ตรงกันข้ามกับคนอื่น ที่ให้มาก แต่ก็โกรธเขา ไม่ให้อภัย ต้องเป็นคนที่ละเอียดมาก
สัพพสัมภารภาวนา การเจริญกุศลทุกๆ ประการ สัมภาระ เป็นเครื่องประกอบ ถ้าปราศจากเครื่องประกอบมากมายที่เป็นธรรมฝ่ายดี ปัญญาจะเกิดได้ไหม ปัญญาโดดๆ อย่างเดียวเกิดเองไม่ได้เลย
ต้องละเอียดนะคะ มีปัญญาโดยไม่มีสติได้ไหม เห็นไหมคะ สัมภาระ กุศลเกิดไม่มีสติได้ไหม ไม่ได้เลย แต่สติเป็นใหญ่ในตรงนั้นในการระลึก แต่ปัญญาประเสริฐสุด
แม้แต่การขอโทษ รู้ว่าผิด ก็ขอโทษได้ จากที่เคยมานะมีความสำคัญตน ก็เข้าใจถูกว่ามีแต่ธรรม ไม่มีใครอะไรเลย ก็จะมีความเห็นใจ ให้อภัย ปัญญาก็ค่อยๆ เห็นโทษจากสิ่งที่ทำไปแล้ว
หลุดพ้นเบาจากความขวนขวายไปหาคำ ด้วยความต้องการใช่ไหมคะ เพราะฟังเพื่อเข้าใจขณะนี้ หนักด้วยความต้องการที่อยากเรียนชื่อก็ไม่รู้
พ้นว่าตัวเองเข้าใจผิดก็โล่งใจแล้วใช่ไหมคะ ไม่ต้องไปหาคำโน้น คำนี้ เรียนชื่อเต็มไปหมด แต่ฟังเพื่อเข้าใจขณะนี้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในสิ่งที่มี
อุบัติเหตุตามท้องถนนไปขอใครหรือเปล่าให้เกิดขึ้น แต่เมื่อมีเหตุให้เกิดก็เกิดขึ้น เดี๋ยวนี้มีเห็น เห็นเกิดขึ้น ขอใครหรือเปล่าให้เกิดขึ้น แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยเห็นก็เกิดขึ้น ทั้งหมดคือตามเหตุ ค่ะ
ถ้ารู้ว่ามีความไม่รู้ จะละความไม่รู้ไหม เพราะฉะนั้นปัญญาจึงรู้ความจริง เห็นโทษของความไม่รู้และกิเลสที่ล้อมรอบทุกระดับ ทั้งอนุสัยกิเลส และกิเลสอื่นๆ และสะสมมามาก อะไรจะมีกำลัง กิเลสหรือปัญญา ปัญญาก็ค่อยๆ เห็นโทษของกิเลส ไม่ประมาท จึงไม่ขาดการฟัง ถ้าไม่ฟัง จะเกิดปัญญาได้อย่างไร ถ้าไม่ฟัง ก็สะสมกิเลสมากๆ แล้วปัญญไม่เกิด จะละความไม่รู้ได้อย่างไร
คำมากๆ แต่ไม่ได้ให้เข้าใจขณะนี้ มีประโยชน์ไหม แต่กับคำมากๆ แต่แสดงเพื่อให้เข้าใจขณะนี้มีประโยชน์กว่าไหม คำว่ามาก คือ ให้เข้าใจขณะนี้ นั่นแหละมากและมีประโยชน์ เพราะฉะนั้นฟังไปเท่าไหร่แต่ไม่รู้ตัวจริง มีประโยชน์ไหม
เห็นความละเอียดไหมคะ อวิชชามากแค่ไหน ค่อยๆ รู้ว่าตรงไหนละ ค่อยๆ เข้าใจขั้นการฟังว่าไม่ใช่เรา ก็ค่อยๆ ละความไม่รู้ ต่างกันแล้วกับการไปทำละ ไปคิดละ
มีวันพอไหม มีคำที่ไม่รู้และอยากรู้มากไหม พอไหมกับความต้องการ แต่ ไม่เข้าใจขณะนี้มีประโยชน์ไหม คะ
ปริยัติรอบรู้ ไม่ใช่รอบรู้คำ แต่รอบรู้ในขณะนี้ที่กำลังเห็น นี่ค่ะ คือ การเกิดมาแล้วมีประโยชน์ในการเกิดมาในสังสารวัฏฏ์ เพราะเราติดแน่นในความเป็นเรามาแสนโกฏิกัปป์ ไม่มีประโยชน์เลย ถ้าไม่ฟังเพื่อเข้าใจเห็น ถ้าเข้าใจถูกเช่นนี้ คนนั้นจะไม่พยายามหาคำ คำนี้แปลว่าอะไร ตำราเล่มไหน แต่เริ่มจากการฟังเพื่อเข้าใจขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เห็นหนทางที่ลึกซึ้งไหมคะว่าพระพุทธจ้าไม่น้อมพระทัยที่ทรงแสดงเมื่อแรกตรัสรู้ เพราะฉะนั้นก็ต้องค่อยๆ มั่นคงว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา เรื่อยๆ เริ่มค่อยๆ ละ คือ ตรงนี้ ไม่ใช่ตรงอื่น ละคือ ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
สงสัยเมื่อไหร่ แสดงว่าไม่เข้าใจธรรม ไม่เข้าใจธรรมเพราะสนใจคำ คำไม่สิ้นสุดหรอกค่ะ แต่มัวแต่สนใจความหมาย คำแปล แต่ธรรมขณะนี้เข้าใจไหม
เวลาที่เข้าใจ อุบัติหรือเปล่า อุบัติที่ไหนก็อุบัติที่ใจแล้ว แต่เดี๋ยวนี้มีธรรมที่กำลังปรากฎแต่ไม่สนใจ แต่จะสนใจคำนั้น คำนี้ เดี๋ยวนี้มีธรรมกำลังปรากฎ อุบัติหรือยัง ไม่ใช่มานั่งนึกถึงคำว่าอุบัติ
โกรธก็คือโกรธ โกรธเกิดแล้ว แต่ไม่ใช่พยายามไม่ให้โกรธ จะละโกรธ แต่ไม่เข้าใจว่าโกรธเกิดแล้วเป็นธรรม
สารธรรม 28 พ.ค. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมจนกว่าจะเข้าใจว่าธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่กำลังมีปรากฎเดี๋ยวนี้ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรานั่นคือ ปริยัติที่รอบรู้ในพระพุทธพจน์
ไม่ใช่ฟังเผิน ฟังแล้วเป็นตำราไปหมด วิตก เป็นยังไง วิจารเป็นยังไง เกิดกับจิตกี่ดวง เรียนอะไร ไม่ได้เข้าใจความจริงขณะนี้เลย
พูดว่าเห็นเป็นวิบากเป็นปริยัติหรือเปล่า แต่พูดว่าเห็นไม่ใช่เราเป็นธรรม เป็นปริยัติ ดังนั้น การเข้าใจว่าเห็นเกิด เห็นเป็นเห็น เห็นไม่ใช่เรา การเข้าใจเช่นนี้เป็นปริยัติ เพราะฉะนั้นก็สะสมความไม่ใช่เราไว้ ก็จะเป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมขณะนี้
ไปค้นตำรา ไปหาคำตอบไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ แต่ฟังธรรม ฟังเพื่อเข้าใจ เข้าใจอะไร เข้าใจสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฎว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
เห็น เห็นสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น และเห็นเป็นเห็น เห็นไม่ใช่ความรู้สึกดีใจ แม้คำว่าเห็นเป็นเห็นก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง พอได้ยินคำว่าความรู้สึกก็คือความรู้สึก ไม่ใช่เห็น แต่ขณะที่เห็นมีความรู้สึกเกิดร่วมด้วย รู้สึกในอะไร รู้สึกในสิ่งที่เห็น
เข้าใจเห็นเมื่อไหร่คะ เข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ค่ะว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
ความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลายก็ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา มีแต่ธรรม
อยากได้หมด อยากได้ทั้งวันหมด แต่ไม่รู้ว่าอยากได้ พอได้สิ่งที่น่าพอใจ เกิดความรู้สึกยังไง สุข ติดแล้วในความรู้สึก แล้วก็แสวงหาอะไร ก็แสวงหาความรู้สึกเป็นสุข แค่นี่ก็ใหญ่โตมโหฬารแล้วคะ แสวงหาเพื่อให้ได้มาเพื่อความรู้สึกเป็นสุข
สารธรรม 27 พ.ค. 63 ช่วงเย็น
ท่านอาจารย์ ไม่ควรไปประมาณใคร ไปคะเนใคร ไปแต่งตั้งใคร เพราะไม่เช่นนั้นต่อไปเราจะถูกหลอกได้ พระโสดาบัน ถึงจะรู้ว่าใครเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี ถึงจะรู้ว่าใครเป็นพระสกทาคามี แล้วเราจะไปแต่งตั้งใครไหมคะ ตามความเป็นจริง คือ ดิฉันเป็นมิตรที่ดี ตามกำลังปัญญาความเข้าใจ ถ้าคิดถึงดิฉันก็คิดถึงในความหวังดี เพราะความไม่รู้มีมาก ก็หวังดีเพิ่มขึ้นให้เขาเข้าใจ
เห็นความไม่ใช่เราโดยความเป็นอนัตตาเพิ่มขึ้น นั่นแหละค่ะ ประโยชน์ แต่ไม่ใช่เรียนไป อยากรู้ไป อยากรู้ชื่อ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร การรู้ ก็รู้สิ่งที่มี ถ้าจะต้องจากโลกนี้ไป ก็สะสมความเข้าใจในหนทางถูกไปเพื่อเข้าใจขณะนี้ ไม่ใช่ไปทางผิด
เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจคำว่าบารมี ทุกบารมี แม้คำว่า สัพพสัมภารภาวนา อบรมเจริญกุศลคุณความดี ทุกๆ ประการ ไม่เช่นนั้นก็พ่ายแพ้ต่อความไม่รู้ ดังนั้น กว่าจะสาง กว่าจะละความเป็นเราได้ ก็ต้องเจริญกุศลทุกประการ ชีวิตประจำวัน จึงเป็นเครื่องทดสอบว่าไม่รู้แค่ไหน มีมากแค่ไหน กิเลสอื่นๆ อีกเท่าไหร่ แต่เห็นคุณของการฟังพระธรรม ค่อยๆ เข้าใจ ละความไม่รู้ไปทีละน้อย แต่ไม่ใช่มีตัวตนที่จะไปพยายามที่จะไปละกิเลส เพราะกิเลสมีมากเท่าไหร่ จะละให้หายไปทันทีได้หรือ
ไม่ใช่ไปห้ามหวังแต่ปัญญาสามารถจะเข้าใจสิ่งนั้นตรงตามที่กำลังเกิดได้ แม้หวังก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้น คำของพระพุทธเจ้าก็ต่างกับคนอื่น นะคะ
เบาจากความยึดถือ คือ ภาระ ภาระคืออะไร เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เหล่านี้ มีภาระก็ไม่รู้ ก็แบกภาระตลอด และก็ถูกปกปิดความจริงไว้หมด
ชินกับอกุศล เกิดได้ทั้งวัน ทั้งคืน ไม่รู้ว่าทั้งหมดที่ฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อละ ละอะไร ละความไม่รู้
ปัญญาจะเกิดได้ยังไงคะ ก็คือฟังพระธรรม ถ้าไม่ได้ฟังถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ไหม เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้นะคะว่าฟังอะไร จึงจะเข้าใจ ก็คือ ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง และเข้าใจอะไร ก็เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้
จะละจริงๆ ก็คือเข้าใจอนัตตา ไม่ใช่เราจริงๆ สูญจริงๆ สูญจากความเป็นเรา
แต่ก่อนนี้เราอยู่ในโลก ก็ไม่รู้ว่าโลกคืออะไร แต่โลกจริงๆ คือ สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไป ผู้ที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับของโลกคือสภาพธรรม ก็คือปัญญาที่ประจักษ์ความจริง
สารธรรม 26 พ.ค. 63 ช่วงบ่าย
ท่านอาจารย์ ปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน เวลาที่คิด แต่ไม่พูดออกมา คนอื่นจะรู้ได้ไหมว่าเราคิดยังไง ดังนั้นใครรู้คะ รู้ได้เฉพาะตน คนที่ตรัสรู้ เราจะไปร่วมตรัสรู้ได้ไหม ดังนั้นก็เป็นเฉพาะตน
โลภะเกิดเวลาไหนก็ได้ใช่ไหมคะ ต้องเลือกเวลานั้นเวลานี้หรือเปล่า ธรรมเกิดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น มรรคจิต เกิดเมื่อไหร่รู้ไหมคะ ผลจิตจะเกิดเมื่อไหร่รู้ไหมคะ เพราะฉะนั้น ไม่เลือกกาลเวลา ตามเหตุปัจจัยเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
ขณะที่ยืนก็รู้ชัดว่าเรายืน คืออะไร ยืนก็คือการประชุมรวมกันของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม ขณะที่ยืนรู้ชัดอะไร รู้ชัดสภาพธรรมกำลังปรากฎ เห็นไม่ใช่ยืน แข็งไม่ใช่ยืน มีแต่ธรรม แข็งเป็นแข็งเท่านั้น ขณะที่รู้ความจริงของสภาพธรรม ขณะนั้นก็เพิกอิริยาบถ ไม่มีอิริยาบถ ดังนั้น เรายืนก็รู้ชัดว่าเรายืน ใครๆ ก็รู้ ไม่ต้องฟังเลยคำของพระพุทธเจ้า 45 พรรษาจะมีประโยชน์อะไรที่พระองค์ทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง
เห็นเป็นนั่งหรือเปล่า แข็งเป็นนั่งหรือเปล่า ร้อนเป็นนั่งหรือเปล่า เพราะฉะนั้น นั่งเป็นอะไรคะ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมปรากฎเมื่อไหร่ ก็เพิกอิริยาบถเมื่อนั้น ไม่มีอิริยาบถจริงๆ
ธรรมนั้นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมอื่นๆ ไม่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นปัญญาต่างหาก ที่ขนานนามว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีปัญญา จะเรียกได้ไหม เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น
ไม่ใช่มีคำพุทโธเป็นอารมณ์แต่เป็นพระคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อันเกิดจากความเข้าใจ ดังนั้นท่องพุทโธ นับถือพระพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะไม่มีความข้าใจคุณของพระพุทธเจ้า สติที่ระลึกพระปัญญาคุณ เป็นพุทธานุสสติ เพราะเข้าใจว่าเป็นบุคคลที่ให้ความเข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้ ขณะที่ระลึกถึงคุณของพระองค์ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นสติ เห็นไหมคะว่าทั้งหมดก็คือเป็นธรรมไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการฟัง จะรู้ความต่างกันระหว่าง ความรู้ กับ ความไม่รู้ ไหม
เคยระลึกถึงคุณของท่านพระอานนท์ ระลึกถึงคุณของท่านพระมหากัสสปะ อย่างท่านพระอานนท์ เป็นผู้เลิศใน 5 สถาน ขณะที่ระลึกถึงคุณท่านก็เป็นสังฆานุสสติ แต่ไม่ใช่ไปหาว่า สังฆานุสสติเป็นแบบไหน
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระอริยสาวกรู้ความจริงว่าไม่มีเรา แต่เราเป็นใครคะ เป็นพระอริยบุคคลหรือยัง ยังเป็นปุถุชนอยู่ เพิ่งเริ่มเข้าใจขั้นการฟัง การรู้ว่ายังมีเรา ดีกว่าคิดว่ารู้แล้วว่าไม่มีเรา
สารธรรม 26 พ.ค. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ จะรู้เรื่องคนอื่นหรือจะรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ที่แสนสั้น ซึ่งยังไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมนะคะ ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจธรรม คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ มีความอยากหรือเปล่าที่อยากรู้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ และไปพูดเรื่องอื่น แล้วจะเข้าใจความจริงอย่างนี้หรือเปล่า ดังนั้นขณะที่สนทนาธรรมเราไม่ได้พูดเรื่องอื่น แต่เรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เพราะการรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ยาก และแสนสั้น
เป็นหนทางที่ยาวไกลไหมคะ ตรงที่สุดคือ สัจจะบารมี ตรง มั่นคง คือ รู้ตรงนี้ ขณะนี้ ไม่เปลี่ยน เห็นก็เป็นเห็น สิ่งที่ปรากฎทางตาก็เป็นสิ่งที่ปรากฎทางตา ค่อยๆ เข้าใจขึ้นค่ะ หนทางนี้
ปัญญารู้ทุกอย่าง ไม่เห็นผิด เดี๋ยวนี้หละ เข้าใจอะไร ระดับไหน เป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นจึงเริ่มรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไงคะ เพราะทุกคำแสดงถึงความจริง ความเข้าใจที่เคยเกิดแล้วไม่หายไปไหน แต่สามารถเข้าใจได้อีก เมื่อได้ฟัง
อ.ณภัทร ... ปัญญาที่เข้าใจปัญหาในชีวิตคืออย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดก็ไม่รู้ เกิดแล้วจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ชีวิตแต่ละคนก็เป็นไปตามปัจจัย และแต่ละคนจะคิดเหมือนกันไหม ก็แต่ละคน ก็สะสมมาตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน นี่ตรงที่สุด
รู้ว่ามีตัวตนก็ยังดีใช่ไหมคะ ถ้าไม่รู้ว่ามีตัวตน จะไปละตัวตนได้อย่างไร
ถ้าไม่มีปัญญาขั้นการฟัง คือ สุตมยปัญญาเลย ก็ไม่สามารถที่จะคิดพิจารณาถูกต้องได้ แต่อาศัยการฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ก็ทำให้ถึงการรู้ความจริงของสภาพธรรมได้
โมหะ เข้าใจไม่ได้ ความไม่รู้ ก็คือไม่รู้ ไม่รู้อะไร ไม่รู้ความจริงในขณะนี้
ธรรมละเอียดลึกซึ้งมาก แม้พระองค์ก็ไม่น้อมพระทัยที่ทรงแสดง แต่ ถ้าไม่มีการฟัง ออกไม่ได้เลยจากสังสารวัฏฏ์ พระองค์จึงทรงแสดงธรรมให้สัตว์โลกเข้าใจความจริงในขณะนี้
ปริยัติต้องรอบรู้มั่นคง จึงจะเป็นปัจจัยให้สติเกิดรู้ความจริง ซึ่งเดี๋ยวนี้เองเป็นปกติ ไม่มีใครทำอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นฟังเพื่อเข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้น ความเป็นเราก็ค่อยๆ น้อยลงไป ตามความเข้าใจที่มั่นคงเพิ่มขึ้น
มีทั้งโลภะ ฉาบทา และความไม่รู้ปิดบัง หุ้มห่อไว้ แต่ไม่ต้องสงสัยที่คำว่าฉาบทา อย่างไร แต่เดี๋ยวนี้เองที่ไม่รู้ความจริงในขณะนี้
ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความเห็นให้ตรง กระทำความเห็นให้ตรง เดี๋ยวนี้หรือเปล่าคะ ที่เข้าใจถูกในขณะนี้ เข้าใจถูกในขณะนั้นว่าป็นธรรมไม่ใช่เรา ทิฏฐุชุกรรม เป็นเราหรือเปล่า เพราะฉะนั้นความเห็นถูก ความเห็นตรง ต่างกับ ความเห็นผิดหรือเปล่า ดังนั้นชีวิตประจำวันนั่นแหละเป็นคำในพระไตรปิฎกทั้งหมด
ปัญญาประเสริฐสุด แต่ปัญญาก็ไม่ใช่เรา ไม่เช่นนั้นก็เป็นเราที่จะสงสัยไปหมด
ถ้าเริ่มจากความเข้าใจถูกตั้งแต่แรก คือ ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรม อย่างเช่น การให้ มีจริง ไม่ให้ก็มีจริง แสดงถึงความจริง ว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรม นี่แสดงถึงความเป็นธรรม คือ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้ก็ให้ ไม่มีเหตุปัจจัยก็ไม่ให้ ดังนั้นทั้งหมดมีจริง เกิดตามเหตุปัจจัย จึงไม่ใช่เราทั้งหมดเป็นอะไรคะ เป็น จิต เป็นเจตสิก เป็นธรรมทั้งหมด
ต้องมั่นคงนะคะ ฟังธรรมไม่ว่าฟังเรื่องอะไร ก็คือเดี๋ยวนี้ เห็นเดี๋ยวนี้ โลภะก็เดี๋ยวนี้ ขุ่นใจก็เดี๋ยวนี้ เห็นถึงความไม่รู้ว่ามากมายแค่ไหน ทำให้เกิดอกุศลมากมายมหาศาล ทำให้ปฏิบัติผิด เห็นผิด พูดผิด เพราะความไม่รู้
พูดได้ว่าโลภะมีตลอดเวลา แล้วอยู่ไหนหละ มีก็ไม่รู้ แต่เมื่อใดที่โลภะเกิดปรากฎเมื่อไหร่ ปัญญาก็สามารถรู้ได้ในขณะนั้น
ไปคิดถึงสิ่งที่ดับไปแล้ว จะรู้สิ่งที่ปรากฎไหม แล้วอะไรปิดบังไว้ใหคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็โลภะ ปิดบังไว้ ไม่ให้รู้ความจริง
ใครพิจารณา ไม่มีใครพิจารณา เพียงคิด แต่ไม่รู้ไปหมดเลย ว่าเป็นธรรม และไม่มีใครที่จะเลือกรู้คิด ว่าเป็นธรรม แล้วแต่ว่าสติจะเกิดรู้ความจริงอะไร ทั้งหมดเป็นธรรมเป็นอนัตตา
พอเข้าใจ ปัญญาก็ละเอง ไม่มีหนทางอื่นทั้งสิ้น
ถ้าไม่ถึงการรู้ความจริง ก็ไม่ถึง อริยสัจจธรรม และความจริงอยู่ที่ไหน ก็ขณะนี้เอง ไม่ใช่ที่อื่น และตรงว่าก็ยังเป็นเรา เป็นปกติ แต่ความเป็นเราก็เดือดร้อน ดิ้นรนที่อยากรู้
สารธรรม 25 พ.ค. 63 ช่วงเย็น
ท่านอาจารย์ ใหม่ทุกขณะ เมื่อกี้เกิดแล้วดับหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน แต่สำคัญว่ามีเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มาอาลัยอาวรณ์มันถูกไหม เพราะไม่มีเรา ดังนั้นทุกอย่างก็เพื่อลืม ทุกสิ่งทุกอย่างจึงไม่ใช่ยึดถือว่าเป็นเราเลย ถ้ายึดถือก็เป็นความเข้าใจผิด ขณะนี้ที่กำลังว่าเข้าใจเป็นคนนี้ก็ไม่ใช่เลย ดับหมดแล้ว ไม่เหลือเลย ทันทีที่เกิดก็ดับไปหมดแล้ว เพียงแต่มีสัญญาความจำ จำผิดว่ามีเรา ยังมีอยู่ แต่ความจริงคือหมดแล้ว แล้วจะมานั่งพร่ำเพ้อ เสียใจในสิ่งที่เกิดดับไปหมดแล้ว ประโยชน์อะไร ดังนั้นจึงไม่ใช่สาระเลยที่ยึดถือว่าเป็นเรา ทุกอย่างที่เข้าใจว่าเป็นเราไม่เหลือสักขณะเดียว ความเดือดร้อนก็เกิดแล้วก็หมดแล้ว สุขนิดเดียวก็หมดไปไม่เหลือเลย ทุกอย่างจึงเพื่อลืม
ความโกรธทำร้ายตัวเอง เขาโกรธทำร้ายเขา ไม่ได้ทำร้ายคนอื่น และที่ถูกไม่มีใคร มีแต่ธรรม ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็มีแต่ความเป็นเพื่อน ความเป็นมิตร การให้อภัย แต่ไม่ใช่มีแต่ความทะนงตน ยโส เราเหนือกว่า ทั้งหมดก็ค่อยๆ น้อมว่าไม่มีเรา กุศลอื่นๆ ก็เจริญขึ้น
สะสมความเป็นเรามามากมายเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ท่านพระสารีบุตรก่อนจะรู้ความจริง ก็ไม่รู้ ท่านพระองคุลิมาล ก่อนจะรู้ความจริงก็ไม่รู้ ให้รู้ความจริงว่ากว่าจะรู้ความจริงยากแสนยากและยาวนานสักแค่ไหน
ถ้าค่อยๆ เข้าใจถูกก็ค่อยๆ ไหล ไหลไปไหน ไหลไปตามกระแสของของพระนิพพาน ที่เริ่มจะละกิเลส ละกิเลสอะไรก่อน ละความยึดถือว่าเป็นสัตว์บุคคล ตัวตนก่อน
หวั่นไหวก็เป็นปกติ เป็นธรรม จนกว่าจะค่อยๆ รู้ว่าเป็นธรรม จนค่อยๆ ชิน เพราะปกติไม่ชิน เพราะยึดถือว่าเป็นเราและความไม่รู้มากมาย และ ไม่ใช่เฉพาะความหวั่นไหว ทุกสภาพธรรมก็เป็นธรรมหมด
ก็ยังดีที่ยังรู้ว่าไม่รู้ และรู้ว่ายังเป็นเรามากก็ยังดีใช่ไหมคะ
ใครทำชั่ว จะช่วยกันว่าเขาไหม เพราะเขาไม่รู้ และโทษเกิดกับใคร ก็เขาเองที่ทำชั่ว
ความเข้าใจถูกเท่านั้นที่จะค่อยๆ พรากความเป็นเราออกไป จากที่มีมานานแสนนาน
ความไม่รู้มากสักแค่ไหน กำลังเผชิญหน้าก็ไม่รู้ แค่ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ชินกับความจริงขณะนี้ ขณะนี้มีสภาพรู้ ค่อยๆ ชิน ค่อยๆ รู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียงสภาพรู้ ไม่ใช่เรา
ค่อยๆ เข้าใจได้ เหมือนพระองค์ก็เข้าใจแล้ว แต่ละคนก็สะสมไป แต่ไม่ใช่ฟังเผิน เพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ว่าไม่ใช่เรา แค่นี้ค่ะ ก็ละความขวนขวายที่จะไปทำสิ่งที่ผิดๆ ด้วยความป็นตัวตน จงใจที่จะรู้
ทุกอย่างก็แล้วแต่การสะสมมาของแต่ละคน ก็ต้องเป็นปกติ เข้าใจความจริงก็เป็นปกติ กำลังของความเข้าใจก็จะเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดตรงนั้นในชีวิตประจำวัน
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อละทั้งหมด แต่ทางอื่นตรงกันข้าม คือ เพื่อได้ทั้งหมด
สารธรรม 25 พ.ค. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ ชาตินี้และทุกชาติเหมือนมีทุกอย่างในความมืด เหมือนฝันไป ตอนฝันเหมือนมี แต่พอตื่นมาไม่มีเลย สิ่งที่ปรากฎเดี๋ยวนี้ก็เกิดขึ้นและดับไปไม่เหลือเลย
พระผู้มีพระภาคตรัสก่อนปรินิพพาน จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ไม่ประมาทในการฟัง ฟังเพื่อเข้าใจละความไม่รู้ จนกว่าจะหมดความยึดถือว่าเป็นเรา
ความจริงที่สุดคือไม่มีมีเรา แต่ถ้าเป็นเรา ก็มีความเข้าใจน้อยมาก
ไม่ใช่มีแต่ปัญญา กิเลสก็มีเป็นปกติ ถ้าไม่มีปัญญาก็จะไม่เห็นความต่างของกิเลสและปัญญา
เหมือนปาฏิหารย์ไหมคะ จากกิเลสที่มีมากมาย ก็ค่อยๆ อาศัยฟังคำของพระพุทธเจ้า จนละความไม่รู้และละกิเลสได้จนหมดสิ้น ซึ่งอาศัยคำที่แสดงถึงสิ่งที่มีจริง ประโยชน์สูงสุดคือไม่ใช่เรา
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เบาสบายเพราะรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ แต่ อยากรู้นั่น อยากรู้นี่ ก็ไม่เข้าใจอนัตตา แต่ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้น อยากก็บังคับไม่ได้ จนกว่าจะเข้าใจว่า อยากก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา
ทำไมเราถึงสนทนากันเรื่องนี้ เพื่อให้เป็นคนมีเหตุผล ไม่ใช่ฟังแล้วเชื่อ แต่พิจารณาว่าอะไรถูก อะไรผิด เริ่มเป็นคนมีเหตุผล ไม่ใช่อาศัยคนอื่นบอก เริ่มไตร่ตรองและคิด มีเหตุผล ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถเข้าใจพระธรรมได้
เดี๋ยวนี้มีเสียง รู้ความจริงของเสียงหรือยังคะ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจ จนกว่าจะรู้ความจริงของเสียง และไม่ใช่แค่เสียง ธรรมอย่างอื่นด้วย แต่เพราะสภาพธรรมเกิดดับ รวดเร็วมาก จึงยังไม่รู้ความจริง
สารธรรม 22 พ.ค. 63 ช่วงเย็น
ท่านอาจารย์ ปัญญาไม่เดือดร้อน แต่แม้เดือดร้อนเกิด ปัญญาก็สามารถรู้ในขณะนั้นว่าไม่ใช่เราเดือดร้อน เป็นธรรม อนัตตา เดือดร้อนเกิดได้เป็นธรรมดา แต่ถ้าพยายามจะไม่เดือดร้อนก็ผิดแล้ว ด้วยความเป็นเรา เห็นไหมคะว่าละเอียดแค่ไหน
พระองค์ทรงแสดงพระธรรม เหมือนส่องประทีปในที่มืด อยู่ในที่มืดก็ไม่รู้ แต่มีแสงสว่างของพระธรรม ส่องไปให้เห็นความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้
ธรรมดาอย่างเดิมขณะนี้ เลี้ยงลูก ดูแลลูกเป็นธรรมะ เป็นธรรมดาหรือเปล่าคะ ขณะนั้นก็มีธรรม มีเห็น มีคิด ซึ่งทั้งหมดเป็นธรรมไม่ใช่เรา จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจตรงนี้ ดังนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจตรงนี้ ขณะนี้
โกรธใครมีประโยชน์ไหม เป็นยักษ์เป็นมารไปเรื่อยๆ ยังละความโกรธไม่ได้ แต่ถ้าเริ่มค่อยๆ ความจริง โกรธมีประโยชน์ไหม ทำร้ายตัวเองตลอดวเลา
ถ้าสะสมความไม่ดี เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว แล้วจะสละความเป็นเราได้อย่างไร
ยังไงก็ต้องจากโลกนี้แน่ เกิดมาไร้ค่า หรือจะเกิดมามีค่า คือ ได้เข้าใจความจริงในขณะนี้
ขอให้ได้ฟัง ขอให้ได้ไตร่ตรอง ไม่ประมาท เพราะธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ถ้ารู้ว่าไม่รู้ แล้วก็ฟังเพื่อค่อยๆ รู้ ก็ไม่เดือดร้อน เพราะรู้ว่าความไม่รู้มีมาก แล้วจะหมดทันทีได้ยังไง ก็เพราะเป็นของเรา กิเลสก็ของเรา จนกว่าจะเข้าใจว่าป็นธรรม
ไหว้พระ ไหว้ใคร ไหว้พระพุทธรูป พระพุทธรูปไม่รู้หรอกค่ะ แล้วพระเครื่องมีคุณอะไรหรือเปล่า พระพุทธรูปเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้ไม่มีพระพุทธรูป ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าได้ไหม ดังนั้นไหว้อะไรกัน มีคุณอะไรก็ไม่รู้ แต่ผู้ที่เข้าใจธรรม แม้เห็นพระพุทธรูปก็ไหว้ เพราะน้อมระลึกถึงพระคุณของพระองค์
สารธรรม 22 พ.ค. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ ... เราไม่โกรธเพราะเขาไม่รู้ เขาโกรธเรา เพราะเขาไม่รู้ มีความเป็นมิตรเป็นเพื่อน ไม่อยากให้เขาตกนรก
นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดและประโยชน์สูงสุด คือ รู้ความจริงว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม ค่อยๆ เข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้นก็เป็นธรรม เมื่อเข้าใจเริ่มต้นแบบนี้ ความเข้าใจขั้นอื่นก็ค่อยๆ เกิดขึ้นได้
มั่นคงในความเป็นอนัตตา รู้ได้อย่างไรว่ามั่นคง เดี๋ยวนี้เอง ที่รู้ความจริง แสดงถึงความมั่นคง จึงมีความรู้ ที่เป็น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ธรรมปรากฎดี ก็คือขณะที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฎ แต่จะมีสติรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็มาจากการฟัง ค่อยๆ เข้าใจว่าไม่ใช่เรา
ตราบใดที่สติยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ ขณะนั้นก็ให้รู้เลยว่ายังเป็นเรา บางคนก็เลยจะพยายามทำสติ ด้วยความเป็นเรา
ตั้งจิตไว้ชอบ คือไม่มีเราฟัง ค่อยๆ มั่นคงว่าไม่มีเรา ฟังด้วยความเข้าใจว่าไม่ใช่เรา แต่ตั้งจิตไว้ไม่ชอบ คือ ฟังแล้วอยากรู้ เดี๋ยวสงสัยตรงนั้น อยากรู้ตรงนั้น อยากรู้ตรงนี้ ถูกปิดบังด้วยความไม่รู้ไว้เหนียวมาก
ทุกคนมีความโกรธ จะไม่ชอบโกรธ ไม่อยากโกรธ แต่จริงเหรอ ถ้าไม่มีฉันทะ จะโกรธไหม ดังนั้น ก็มีความพอใจที่จะโกรธ
ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงแพิ่มขึ้น ก็จะละคลายความเดือดร้อน ในเรื่องอดีต ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะทั้งหมด ไม่มีเลย มีแต่ธรรมแต่ละขณะที่เกิดขึ้นและดับไป
สัจจบารมี สภาพธรรมที่มีขณะนี้ ถ้าไม่รู้ขณะนี้ จะรู้ความจริง สัจจะได้อย่างไร
ฟังแล้วท้อ เป็นตัวตนหรือเปล่า เพราะอยากได้ แต่ฟังด้วยความไม่มีตัวตน ก็เห็นว่าธรรมละเอียด ลึกซึ้ง ค่อยๆ เข้าไป ทีละน้อย จะเข้าใจมากได้อย่างไร แต่ฟังด้วยความเป็นเรา ก็อยาก อยากก็ท้อ แต่ฟังธรรมที่ยากแสนยาก แต่ได้เข้าใจแม้เพียงนิดเดียว เบิกบานใจไหม แต่ฟังไปท้อไป ก็เป็นเราต่อไป บอกได้เลยค่ะ ว่าไม่เข้าใจธรรม
สารธรรม 20 พ.ค. 63 ช่วงเย็น
ท่านอาจารย์ จะฟังธรรมอีกนานเท่าไหร่ ... จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นคำกล่าวที่แสดงถึงการสะสม ทีละเล็กละน้อย อาศัยความเข้าใจทีละน้อย ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น แล้วเข้าใจว่าอย่างไรคะ ... เข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม ... จับด้ามมีดเลยค่ะ ค่อยๆ สึก แต่ถ้าไม่จับ ก็ไม่มีทางสึก
อนัตตา มั่นคงหรือยัง มั่นคงว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรจริงไม่จริง ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ ก็ไปหาตัวหนังสือบ้าง คำบ้าง กระโดดไปหมดเลย ดังนั้นก็มั่นคงตรงนี้ ไม่ใช่ตรงอื่น มั่นคงที่เข้าใจว่าไม่ใช่เรา
สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แหละลึกซึ้ง เกิดก็ไม่รู้ ดับไปก็ไม่รู้ จากที่เคยแวดล้อมไปกับสิ่งต่างๆ แต่กว่าจะไม่เหลืออะไรเลย แม้ตัวเองก็ไม่มี มีแต่ธรรม แต่ถ้าเป็นกิเลสก็ว้าเหว่ ความยึดถือมีมากแค่ไหน
ถ้าปัญญาค่อยๆ รู้ความจริงจนประจักษ์ ถึงการรู้จริงอย่างยิ่ง เป็นจริงอย่างนั้นเลย ก็มีปัญญาที่เห็นโทษ เห็นภัยของการเกิด แต่ตอนนี้อันนี้ก็มี คนนั้นคนนี้ก็มี สิ่งนั้นสิ่งนี้มี ก็เห็นความจริงไม่ได้ เพราะยังไม่รู้ความจริง ดังนั้นก็ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพราะมีแต่ธรรมที่เกิดดับ ถ้าไม่รู้ก็เหมือนหนูถีบจักร ถีบไปจนตาย ไม่รู้ความจริงไปจนตาย อยู่ในความมืดตลอด ไม่รู้ความจริงขณะนี้เลยว่าเป็นธรรม
กว่าจะรู้ความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงก็แสนยาก แต่มีหนทาง มีหนทางละคลายความติดข้อง ติดข้องเพราะอะไร เพราะไม่รู้ความจริง ค่อยๆ คลายความติดข้องก็เพราะรู้ความจริง ก็เป็นบุญที่ได้ฟัง ฟังไปเถอะ ฟังไปก่อน ฟังไปเรื่อยๆ ค่ะ
เมื่อมีความเข้าใจมีแค่นี้ ขั้นการฟัง จะไม่ให้โลภะที่มีกำลังเกิดก็ไม่ได้ เพราะเมื่อได้ปัจจัยก็พร้อมเกิด ห้ามยังไงก็ไม่ได้
ทรัพย์สินเงินทองตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ แต่ความเข้าใจติดตามไป เพราะสะสมอยู่ในจิต
ไม่ละเลย ไม่ทอดทิ้ง แม้คำว่าไม่ใช่เรา ละคลายโลภะ ละคลายโทสะ ก็เพราะเข้าใจว่าไม่ใช่เรา นี่คือสิ่งที่สำคัญมาก แต่ไม่ใช่มีตัวตนพากเพียร พยายามจะละกิเลส จึงไม่ใช่เพียรด้วยความเป็นเรา แต่เข้าใจถูกว่าเพียรไม่ใช่เรา ความเข้าใจจึงค่อยๆ ชำระล้าง ทีละเล็กทีละน้อยเพราะสะสมกิเลสมามาก ดังนั้นก็ค่อยๆ มั่นคงว่าไม่ใช่เรา แม้โลภะเกิดปัญญาก็สามารถรู้ว่าไม่ใช่เราได้ จากที่เคยเข้าใจผิดว่าโลภะเป็นเรา
ต้องอดทนอย่างมาก บารมี ถ้าไม่มี ก็ไม่มีทางรู้ความจริงได้เลย นี่คือ ความลึกซึ้งอย่างยิ่งกว่าจะถึงได้
แม้แต่คำพูดนะคะ พูดยังไงเป็นคำพูดที่ดี พูดยังไงเป็นคำพูดที่ไม่ดี เวลาที่ไม่ชอบเกิดขึ้น ก็ดูแล้วกัน พูดยังไง ต่างกับขณะที่เห็นใจ เข้าใจ คำพูดก็ต่างกัน
สารธรรม 20 พ.ค. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ ไม่รู้เดี๋ยวนี้ ก็ไม่เข้าใจว่าปัญหาคืออะไร ดังนั้นไม่ใช่คิดจะแก้ปัญหา แต่ต้องรู้ว่าปัญาหาคืออะไร เพราะฉะนั้นปัญหาจริงๆ เจอหรือยัง ปัญหาจริงๆ คือ ความไม่รู้ และเดี๋ยวนี้มีไหม มี นี่แหละปัญหาค่ะ
แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วก็ยังมีผู้ติดตามคำของพระพุทธเจ้า คนที่ติดตามคำของพระพุทธเจ้าแล้วรู้ไหมว่าเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่ามาวิจารณ์คำนี้คืออะไร แต่ ฟังคำของพระพุทธเจ้าเพื่อละความเห็นผิด ละความเข้าใจผิด ละความยึดถือว่าเป็นเรา ดังนั้น ไม่ใช่ติดตามเพราะต้องการรู้คำ ติดตามคำพยัญชนะต่างๆ แต่ฟังพระธรรมติดตามคำพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เรา เพื่อละความเป็นเรา
ตั้งจิตไว้ชอบ อะไรตั้งจิต เพราะฉะนั้นพระธรรมของพระพุทธเจ้า กล่าวถึงความจริงของธรรมทั้งหมด จึงไม่มีใครตั้งจิต ไม่มีตัวตนไปตั้งจิต ดังนั้นทิ้งคำว่าอนัตตาไม่ได้เลย แต่ขณะที่พิจารณาไตร่ตรอง ว่าอะไรถูก อะไรไม่ถูก ขณะนั้นนั่นแหละ ตั้งจิตไปในทางที่ชอบ แต่ไม่ใช่มีตัวตนที่จะไปทำตั้งจิตให้ชอบ เรียนแต่ชื่อ คำนี้เป็นแบบนั้น คำนั้นเป็นแบบนี้ ตั้งจิตไว้ชอบหรือเปล่า
โลภะเกิดแล้วมีใครทำไหมคะ โทสะเกิดแล้วมีใครทำหรือเปล่าคะ ไม่มีใครทำ เพราะเกิดแล้วตามเหตุปัจจัย ค่อยๆ มั่นคงว่าไม่ใช่เรา ไม่มีใครทำอะไรได้
ถ้ามีคนบอกว่าทำมากๆ เพียรมากๆ ถูกหรือผิดคะ ถ้าเชื่อแล้วทำ ก็เข้าใจผิดว่าทำได้ ดังนั้นความรู้ความเข้าใจ ไม่มีใครไปทำ แต่ธรรมทำกิจปรุงแต่งให้เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้นก็ไม่ใช่เรา ต้องมั่นคงว่าไม่ใช่เรา
มีคำในพระไตรปิฎกคือใบลานเปล่า ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย แต่จำได้ พูดได้ แต่ไม่ได้เข้าใจความจริงที่มีในขณะนี้เลย ดังนั้นจึงต้องรู้จุดประสงค์ว่าฟังทำไม
ทุกอย่างเป็นธรรม แล้วตรัสว่าอะไรอีก ตรัสว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อัตตา คือ มีตัวตน อนัตตา คือ ไม่มีตัวตน แต่ ทุกอย่างเป็นธรรม ต้องเข้าใจธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่งเยอะไหมคะ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ ได้ยินหนึ่ง เสียงหนึ่ง ดับหมดแล้วเป็นของใคร ค่อยๆ เข้าใจแต่ละหนึ่งที่ไม่เหมือนกัน หนึ่งเห็น หนึ่งได้ยิน หนึ่งคิด หนึ่งจำ หนึ่งชอบ หนึ่งโกรธ ทุกอย่างเป็นหนึ่งหมด มีแล้วก็หามีไม่ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งก็จะละความเป็นเราได้
สารธรรม 18 พ.ค. 63 ช่วงเย็น
ท่านอาจารย์ หน้าที่ของปัญญาที่จะรู้แล้วละและแกะความเป็นเรา แต่มีเราที่จะไปแกะ ไปละ เพราะฉะนั้นความเป็นเรามากมายมหาศาล มีตัวเราเพิ่มขึ้นก็มืดเพิ่มขึ้นไปอีก มีเราและกังวลที่จะไปละ ดังนั้น " ปัญญาความเห็นถูกที่เข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรมเท่านั้น ที่จะละความเป็นเราได้ " เมื่อค่อยๆ เข้าใจแบบนี้ ก็ละวางที่จะเป็นตัวเราที่จะทำ ที่จะละ เพราะทั้งหมดเป็นหน้าที่ของธรรม
อะไรเกิดก็คือต้องเกิด เดือดร้อนก็เป็นธรรม จงใจก็เป็นธรรม จนกว่าจะเข้าใจแม้ในขณะนั้นว่าไม่ใช่เรา เพราะปัญญารู้ทัน ในความเป็นจริงที่ปรากฎ
แสนโง่ แล้วจะเดือดร้อนกับความจริงเหรอ คะ เพราะพูดถูก ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นโง่เป็นโง่ ไม่ต้องเดือดร้อนอะไรเลย แสนโง่กันทั้งนั้นแหละ ไม่ได้ว่าใครสักคน ว่าโง่ ว่ามันโง่ เดือดร้อนอะไรกับโง่หละคะ ไม่ใช่เราที่โง่นี่คะ เพราะฉะนั้นอกุศลทั้งหลายโง่หมด ถ้าเข้าใจจริงๆ แบบนี้ก็คือกำลังศึกษาธรรมเพราะเข้าใจตัวธรรม
รู้ว่าโง่ ดีนะคะ โง่ไม่รู้อะไร โง่ไม่ใช่เห็น โง่ไม่ใช่ได้ยิน โง่เป็นโง่ เป็นธรรมไม่ใช่เรา
พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงให้เกิดปัญญา ท่ามกลางความโง่เนี่ยแหละคะ ค่อยๆ หายโง่ แต่ถ้าละเลยไม่ฟัง ก็โง่ต่อไป
เล่มนู้นว่าไง ตำราเล่มนู้นว่ายังไง ไม่รู้ในสิ่งที่กำลังมี ศึกษาธรรมเพื่อรู้ตรงนี้ ไม่เช่นนั้นศึกษาทั้งชาติก็มีแต่คำ
จะเอาธรรมมาเตือนใจตัวเอง จะหาประโยชน์จากธรรม ก็ไม่พ้นจากความเป็นเรา อยากให้เราได้ประโยชน์จากธรรม ลืมว่าประโยชน์จากธรรม คือ เพื่อเข้าใจถูกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
ตัวตนก็จะมานั่งแก้ ไม่แก้ แต่พระธรรมทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจว่าไม่ใช่เรา
สารธรรม 18 พ.ค. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมแล้ว ชีวิตเราดีขึ้น เรามีความดีเพิ่มขึ้น คำนี้ ... ความเป็นเราตามมาหมด แต่ถ้าความเข้าใจเพิ่มขึ้นจริงๆ อะไรจะเกิดก็เกิดเป็นธรรมดา อกุศล สิ่งไม่ดีก็เป็นธรรมดา ไม่หวั่นไหวเพราะเข้าใจว่าเกิดแล้วเป็นธรรมดา ดีก็ไม่ใช่เรา ชั่วก็ไม่ใช่เรา เป็นธรรม เกิดแล้วดับไปไม่เหลือเลย นี่แหละคะ นำไปสู่ความรู้ความเข้าใจจริงๆ ในความเป็นอนัตตา ความรู้ที่เข้าใจอนัตตานำไปสู่การละความไม่รู้
มั่นคงว่านำมาพิจารณา นำมาไตร่ตรองไม่ได้ แต่สะสมทำให้เกิดคิดถึงสิ่งนั้น พอพูคำว่า เราดีขึ้น เราเบาขึ้น นี่ก็คือคำพูดแสดงถึงความเป็นเราแค่ไหน มีเราที่จะนำมาไตร่ตรองก็ผิดแล้ว จึงไม่มีเรา ไม่มีเรานำมา แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้ง เป็นเราที่ไม่หวั่นไหว เป็นเราแล้วก็ไม่รู้ว่าหวั่นไหว หวั่นไหวแล้วเพราะเป็นเรา หวั่นไหวกับความเห็นถูกว่าเป็นเราที่เห็นถูก มีตัวเราที่จะไม่ให้หวั่นไหว แต่เข้าใจถูกว่าอะไรเกิดก็เป็นธรรม ไม่หวั่นไหวเพราะเข้าใจว่าเป็นธรรม เข้าใจว่าทำอะไม่ได้ ก็ค่อยๆ ละความเป็นเราที่จะทำ
คนไทยชอบนำมาใช้คือ คำว่า นำมาปฏิบัติ นำมาไตร่ตรอง สิ่งที่เกิดแแล้วดับไป นำมาไม่ได้เลย แต่สิ่งที่เกิดแล้วเป็นปัจจัย สะสมให้เกิดขึ้น จึงไม่ใช่เรา ค่อยๆ มั่นคงว่าไม่มีเรา ทำอะไรไม่ได้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำพูดที่กล่าวออกมา จึงแสดงถึงความเข้าใจว่ามากหรือน้อย ยิ่งเข้าใจมากขึ้น คำพูดก็จะตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น
ขณะนี้เหมือนโลกที่ถูกไฟไหม้ หมดไป หมดไป ทุกขณะ ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งจริงๆ ก็ไม่มีทางที่จะไปละว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้
ทุกคำของพระพุทธเจ้าอนุเคราะห์ให้ความเห็นผิดหมดไป ให้เห็นถูก
ผิดก็คือผิด ผิดก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ถูกก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง จึงไม่ใช่เราเป็นธรรมทั้งหมด ถ้าไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม ก็ละอะไรไม่ได้ เพราะเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย
ปกติไม่รู้เป็นธรรมดา และปกติก็ค่อยๆ ฟังจนค่อยๆ รู้ขณะนี้ที่เป็นปกติว่าเป็นธรรม เป็นธรรมดา ดังนั้นก็เข้าใจสิ่งที่กำลังมีธรรมดาอย่างนี้แหละ จะให้ผิดปกติได้อย่างไร
ถ้าเราเริ่มเข้าใจว่าทำไม่ได้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็ไม่มีใครหลอกเราได้ ที่จะให้ไปทำ และทำอะไรผิดๆ
ฟังธรรมไม่ใช่ฟังเพื่อเราเข้าใจ เพื่อเราจะทำ ถ้าไตร่ตรองให้ดี ความจงใจ ตั้งใจ ไม่ใช่เข้าใจ
ระวังไม่ให้เกิดโลภะ อุตส่าห์เข้าไป ไม่ไปดูอะไร แล้วโลภะเกิดไหม
มีโทสะ ระวังยังไงยังไงก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่เข้าใจคำว่าธรรม แม้แต่คำว่า ธรรม เข้าใจละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น ในความลึกซึ้งของคำว่าธรรม
วิทยากรที่จะพูดธรรม พูดให้เขาเข้าใจในธรรม ไม่ใช่พูดในสิ่งที่เราเข้าใจแต่เขาเข้าใจไม่ได้
สารธรรม 12 พ.ค. 63 ช่วงบ่าย
ท่านอาจารย์ ... ขณะที่เข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม ขณะนั้นค่อยๆ ละคลายความติดข้อง
วางความเป็นตัวตน คือ ไม่ต้องทำอะไร แต่ไม่เข้าใจก็วางไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าวางอะไร ละอะไร
พระพุทธศาสนาจะอันตรธานเมื่อพุทธบริษัท ไม่ละเอียด ไม่ลึกซึ้ง ฟังใครก็ไม่ละเอียด เชื่อไปหมด
ไม่รู้เดี๋ยวนี้ แต่จะไปรู้อย่างอื่น อยากรู้ชาติก่อน และที่คิดว่ารู้ ก็ไม่รู้เพราะสิ่งนั้นหมดแล้ว
ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ไม่มี ดับไปไม่เหลือเลย และที่เกิดมาใหม่ก็ไม่ใช่สิ่งเดิมแล้ว ทุกคำก็เพื่อละ แต่ไม่ได้เป็นไปรวดเร็วนะคะ อยากแท้ๆ แต่ก็ไม่รู้ มีแต่ความไม่รู้และความต้องการตลอด
กิเลสที่สำคัญที่ลืม คือ ความไม่รู้ มีแต่อยากไม่มีกิเลสอื่น เพราะกิเลสใดๆ ทั้งหมดก็มาจากความไม่รู้ทั้งนั้น
สารธรรม 12 พ.ค. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ ... จะไปสนใจโลภะประกอบด้วยความเห็นผิด ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิดขณะนี้ยังไม่รู้เลย ต้องรู้จักประมาณคำของพระพุทธเจ้า ดังนั้น ก็พูดไปด้วยการคาดคะเนด้วยความคิด ความเชื่อ นี่ก็ต่างกันแล้วใช่ไหมคะ กับความเข้าใจถูกว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม
ประโยชน์จริงๆ คือ ความเข้าใจอะไรที่ละความติดข้อง และศึกษาแบบไหนที่เพิ่มความติดข้อง
ประโยชน์อยู่ตรงไหน อยากได้ยินชื่อ แต่เป็นตัวตน แต่ประโยชน์อยู่ที่เข้าใจว่าเป็นธรรมไม่มีตัวตน เพื่อเข้าใจถูกสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฎ เกิดขึ้นและดับไปไม่เหลือเลย จึงว่างเปล่าจากตัวตน แต่ยังคงยึดมั่นว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใด จุดประสงค์ของการแสดงพระธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ไม่ใช่ไปจำคำ เพราะฉะนั้น เครื่องทดสอบปัญญาก็คือขณะนี้ ค่ะ
ท่านพระสารีบุตรฟังมาเท่าไหร่ หนึ่งอสงไขยแสนกัป พอได้ยินคำว่า ธรรม รู้เลยว่าหมายถึงสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไปหาชื่อ แต่ถ้าเข้าใจก่อน ฟังคำจริงแล้วก็เข้าใจ
กำลังหาชื่อ อยากรู้ชื่อใช่ไหม ไม่ใช่ไปหาชื่อก่อนแล้วไปหาตัวจริง ดังนั้น อยากถาม หาชื่อ ก็อยาก เสียเวลาไหม ตายไปแล้วก็ลืม
เพราะฉะนั้นศึกษาชื่อเพื่อเข้าใจความจริงขณะนี้ จุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรม จึงไม่ใช่จะจำชื่อ ไม่ใช่อยากจะรู้ชื่อ
ความต้องการ ความอยากเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่รู้ อยากรู้แค่ชื่อ อยากปฏิบัติ คิดว่ามีประโยชน์ด้วย แต่ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นเป็นความต้องการ และ มีความไม่รู้ด้วย เพราะฉะนั้นฟังธรรม เรื่องสิ่งที่มีจริง เข้าใจตามภาษาที่ตนเข้าใจได้
ชื่อมาอีกแล้วหาใหญ่เลย ศึกษาหาชื่อก่อนก็ไม่เจอตัวจริง แต่ถ้าฟังในภาษาตนเพื่อเข้าใจขณะนี้ ก็เข้าใจชื่อได้
บางคนก็อยากไปรู้มนสิการ บางคนก็อยากไปรู้ วิตก ตัวจริงขณะนี้ไม่รู้แล้วเมื่อไหร่จะรู้หละ ดังนั้นประโยชน์สูงสุดของชีวิตในแต่ละขณะ คือ ได้ยินได้ฟังเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้
สารธรรม 9 พ.ค. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ ..เห็นความเป็นอนัตตาคือขณะนี้ การเข้าใจอนัตตา ก็คือ เข้าใจความเป็นปกติ ธรรมดา อะไรจะเกิด โลภะก็เป็นธรรม โทสะก็เป็นธรรม ดังนั้นความเข้าใจธรรมไม่ได้อยู่ในตำรา แต่ อยู่ในขณะนี้ที่เข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
อะไรที่เข้าใจถูก และเป็นประโยชน์ คือ สาระ เพราะสาระคือ เป็นประโยชน์
ประโยชน์คือฟังแล้วเข้าใจ แต่ฟังแล้วเป็นเรา ไปทำอย่างอื่น หวังว่าเป็นหนทางแต่ไม่ใช่เพราะเป็นเราตลอดเลย
อยู่ที่เข้าใจ เข้าใจอะไร เข้าใจว่าไม่ใช่เรา เวลาอ่านศึกษาอะไรก็เข้าใจได้ เพราะพระองค์ทรงแสดงถึงความเป็นอนัตตา
เข้าใจเห็นเป็นเห็นเป็นธรรมเป็นสาระ เพราะเข้าใจถูก เข้าใจความจริง
มัวแต่หาทาง ทำอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนี้ก่อน อะไรก่อน ลืมคำว่าอนัตตา แล้วเมื่อไหร่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา แทนที่จะรู้ว่าไม่มีเรา ก็ไปหาวิธี ถ้ามัวหาวิธี ไม่ใช่ตัวตนหรือคะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปทำอะไรทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้
คำพูดว่าไม่มีเรา เพราะเหตุปัจจัย ที่เป็นอนัตตา คำนี้หายไปไหน ความโกรธเกิดขึ้นบังคับบัญชาได้ไหม
คิดว่าเข้าใจโทสะไม่ใช่เรา แต่เวลาโทสะเกิดจริงๆ ปรากฎจริงๆ รู้ลักษณะหรือเปล่า หรือเป็นเราที่เข้าใจโทสะ
ฟังว่าเป็นธรรม แต่ไม่ใช่ว่าหวังว่าโทสะจะลดน้อยลง นั่นเป็นข้อยึดถือปฏิบัติที่ผิด เพราะไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมทั้งหลายบังคับบัญชาไม่ได้
ผู้ถาม ในบางครั้งที่เราตรึกนึกถึงโทษของอกุศล ... ท่าน อ.สุจินต์ ... คำนี้ ใครคิด เราคิดใช่ไหม
ผู้ถาม ไม่อยากจะสะสมอกุศลอีกต่อไป ...
ท่านอาจารย์ คำนี้ ทำได้ไหม ลืมอนัตตาไหม
ท่านอาจารย์ คิดจะสะสมกุศล คิดไม่ผิดหรอก แต่เพื่ออะไรคะ
ผู้ถาม เพื่อได้พบสิ่งที่ดี
ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะ เพื่อเรา เพื่อตัวตน ลืมว่าฟังธรรมเพื่ออะไร ฟังเพื่อเป็นตัวตนที่จะดี หรือ ฟังเพื่อรู้ว่าไม่มีตัวตน ดังนั้น ฉันจะสะสมกุศลเพื่อเรา ก็ไม่ใช่เพื่อละ ขนาดรูปพรหม เจริญกุศลก็ไม่พ้นจากความเป็นเรา
คำพูดที่ว่า ไม่ประมาทในกุศลแม้เพียงเล็กน้อย แล้ว เจริญกุศลเพื่ออะไรคะ เพื่อตัวเราหรือคะ แต่ การเจริญกุศลเล็กน้อยเพื่อรู้ว่กุศลก็ไม่ใชเ่รา อกุศลก็ไม่ใชเ่รา
ไม่ประมาทในกุศลแม้เพียงเล็กน้อยคำนี้ ถ้าเพื่อเราประมาทไหม ความต้องการติดตามไปตลอด ดังนั้นฟังเพื่อไม่มีเราค่ะ
ทำความดีเพื่ออะไร เพื่อใคร ถ้าไม่ละเอียด ไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออะไร
ทำดีเพราะรู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่มีคุณความดี ความไม่ดีก็ปิดบังที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นทั้งหมดโยงไปหมด แต่กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ถ้าไม่มีคุณความดี ความไม่ดีก็ปกปิดทั้งวัน เพราะฉะนั้นความไม่ดี ไม่สามารถให้ความจริงได้เลย เพราะไม่ทำให้รู้ความจริง แต่มีความเป็นเราสะสมมามาก มีเครื่องกั้นคืออกุศลมามาก แต่ ทำความดี เพราะละคลายเครื่องกั้นเพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม
ถ้าไม่รู้ว่าตัวตนอยู่ที่ไหนเกิดที่ไหนดับความเป็นตัวตนมากๆ ไม่ได้แน่นอน
สารธรรม 8 พ.ค. 63 ช่วงเย็น
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมดีขึ้นบ้างไหมในชีวิตประจำวัน คำนี้ ขณะที่เข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรมในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น นั่นคือดีขึ้นไหม ดีแล้ว เพราะขณะนั้นเข้าใจความจริง ตรงเผง ตามความจริง
คำว่าเข้าใจ ก็ต้องเข้าใจว่าอะไร คือ เข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม จึงชื่อว่า เข้าใจ ความเข้าใจที่เข้าใจจริงๆ จึงน้อมไปว่าไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่เราน้อมนะคะ แต่ ความเข้าใจนั้นจะปรุงแต่งให้เข้าใจว่าไม่ใช่เรา
คำว่าไม่ใช่เรา เป็นคำสำคัญที่สุด เพราะเป็นการแสดงความจริงของธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
กำลังเข้าใจขณะนั้นจริงๆ ว่าขณะนั้นไม่ใช่เราเป็นธรรม ขณะนั้นมีความเข้าใจไหม เป็นประโยชน์มากไหมคะ แล้วถ้าไม่เริ่มจากความเข้าใจตรงนี้ จะกระโดดไปไหนคะ
เข้าใจไหมคะ ว่ากำลังเรียนศึกษา คือ เข้าใจขณะนี้ แต่ฟังไป ฟังไป ยังไม่รู้ตรงนี้ จะรู้ตรงนี้ ยังไม่พอๆ แล้วชีวิตนี้สั้นหรือยาว แล้วประโยชน์ที่ควรจะเข้าใจคืออะไร ชื่อหรือ แต่คือเข้าใจขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เรียนเพื่อเข้าใจความจริงค่ะ
ที่กล่าวให้หยุด (ศึกษาทางผิด) ด้วยความหวังดี เพราะถ้าไม่บอก ไม่พูด ก็จะหลงทางไปไหนทางผิดไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่เอาคำเยอะๆ มาใส่เต็มที่ มีความติดข้อง ต้องการ แล้วเอาอะไรมาที่จะเข้าใจธรรม ไม่ใช่ไปหาคำ นี่คือความต่างกัน ไม่งั้นเราก็หลงไปเป็นเรื่องศึกษาเป็นปริเฉท ปัจจัยต่างๆ แล้วขณะนี้เข้าใจอะไร ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ไปติดในคำ
ศึกษาให้เห็นละเอียดขึ้นในแต่ละคำ ว่าไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่ไปรู้คำ ไม่ใช่มั่นคงในคำว่าสัมปฏิฉันนะ แต่ให้เข้าใจว่าสัมปฏิฉันนะก็ไม่ใช่เราเป็นธรรม กำลังเห็นเดี๋ยวนี้รู้สัมปฏิฉันนะหรือเปล่า แต่กำลังเห็นขณะนี้ เริ่มเข้าใจหรือเปล่ามีสิ่งที่ปรากฎทางตา นี่คือเรียนเพื่อเข้าใจขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ เข้าใจว่าอะไร เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม และธรรมละเอียดไหม ใช้เวลานานไหม ถ้าไม่เข้าใจว่าให้เข้าใจขณะนี้ เป็นเบื้องต้นหรือเปล่า ก็ไม่ใช่
ความจริงอยู่ในขณะนี้เองในชีวิตประจำวัน เพียงแต่ไม่มีใครเปิดให้เห็น ให้รู้ ไม่มีใครหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด
ถ้าเป็นเราที่เพียรฟังพระธรรมถูกไหม เพียรใหญ่เลย แล้วเมื่อไหร่ที่จะรู้ว่าเพียรไม่ใช่เรา ดังนั้น ถ้าเข้าใจว่าเพียรมีอยู่แล้วเกือบทุกขณะ แล้วต้องไปเพียรฟังอีกไหม เพราะฉะนั้นคนยังไม่เข้าใจคำว่า เข้าใจ
อย่างที่โกรธเกิดขึ้น ใครไปห้ามเกิดแล้ว แล้วอนัตตาลืม หายไปไหน แต่เข้าใจอนัตตา มั่นคงขึ้น ก็เข้าใจโกรธว่าไม่ใช่เรา แทนที่จะโกรธต่อไป ก็ค่อยๆ เบาขึ้น สั้นขึ้น
ทุกขณะว่างเปล่า สุญญตา อนัตตา อย่างขณะนี้ หมดแล้ว ดับหมดแล้ว ไม่กลับมาเลย ว่างเปล่า ดังนั้นการละ ไม่ใช่การละอย่างอื่น ไม่ใช่ว่าเรารู้ เราเข้าใจคำนี้แล้ว เพราะตัวจริงไม่มีชื่อ
เราบอกว่าเราเลิกงานแล้ว แต่ จิตเจตสิก ไม่เคยเลิกงาน เพราะมีธรรมทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นจึงไม่พ้นจากภาระเลย
สารธรรม วันวิสาขบูชา 6 พ.ค.63 ช่วงเย็น
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน ถ้าปัญญาเข้าใจขณะนั้นบูชาคุณพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
คนไม่มีปัญญาถึงรู้ว่าโง่ พอใครไปกล่าวร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ไม่ปฏิเสธ ใครกล่าวว่าร้ายว่า ไม่ให้พระองค์ไม่เกิด แช่งไม่ให้ผุด ไม่ให้เกิด แต่พระองค์ก็ทรงแสดงว่า อะไรเกิด อะไรไม่เกิด ดังนั้น ปัญญาไม่ทำให้หวั่นไหว ปัญญาไม่ทำให้เกรงกลัว
เขาโกรธเขาก็มีวาจาแบบนั้น อกุศลของเขา เราก็ไม่เดือดร้อน ก็อกุศลเป็นอกุศล ความไม่รู้ก็ทำให้มีเรา ต้องโกรธ ไม่โกรธไม่ได้ พระองค์ถึงตรัสว่าใครจะทำอะไรกับเขาได้ เพราะเป็นธรรมหมด เป็นอนัตตาหมด
อยากได้พร้อมทุกอย่างเพราะโลภะ ห้ามไม่ได้เพราะเกิดแล้ว อย่างเดียวที่ถูกต้องคือเข้าใจถูกว่าไม่ใช่เรา นี่คือการเห็นโทษของกิเลส
ถ้าเข้าใจผิด เขาก็มาว่าเรา เขาไม่ดีกับเรา แท้ที่จริงเดือดร้อนเพราะกิเลสตัวเอง
คนที่เขาขี้โกรธเพราะสะสมความโกรธมาเรื่อยๆ เพราะเกิดบ่อยๆ และการที่จะเป็นคนใจดี ใจกว้างทันทีได้ไหม ไม่ได้ แต่ก็ต้องสะสมไปทีละน้อย หรือ ต้องโกรธเขา ไม่มีเมตตาเขา คิดไปโน่น นี่ก็ตามการสะสม
ทุกๆ คำของพระองค์ค่อยๆ ละความหวัง แต่ถ้าไม่เข้าใจก็อยากโน่น อยากนี่ อยากรู้คำ อยากเป็นคนดี โดยไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม
ไม่ใช่เอาชื่อเอาคำมาเยอะๆ จิตมีกี่ดวง จิตทำการงานอะไรบ้าง แต่ไม่เข้าใจว่าคือเพื่อเข้าใจขณะนี้
เข้าใจถ่องแท้ทีละคำหรือยัง คือ เข้าใจถ่องแท้ว่าคำนั้นเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนหรือยัง
เข้าใจก็ไม่ใช่เรา จนกว่าทุกอย่างเป็นธรรมไม่ใช่เรา คิดดูว่ายากแค่ไหน ซึ่งจะมาจากไหน ก็มาจากการฟังทีละเล้กน้อยที่ค่อยๆ เข้าใจว่าไม่ใช่เรา
อยู่ไหนก็เป็นเรา อยากก็เป็นเรา ไม่อยากก็เป็นเรา อยากก็มีปกติ แต่ลืมว่าอยากไม่ใช่เรา ปัญญาค่อยๆ รู้ว่าธรรมไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ในชีวิตประจำวัน ฟังต่อไปว่าเป็นธรรม ถึงไม่อยากอาหารไทย ก็อยากอย่างอื่น ดังนั้นความเข้าใจอนัตตาสำคัญที่สุด จะอยากหรือไม่อยากก็เป็นธรรม นี่คือเริ่มรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เราทีละเล็กละน้อย เป็นปกติ ไม่มีใครมีแต่ธรรม
สติปัฏฐานจึงไม่ใช่เรื่องคิดเรื่องราว แต่ต้องเป็นปัญญาที่ถึงเลักษณะฉพาะที่กำลังปรากฎให้รู้ลักษณะขณะนี้
สารธรรม 5 พ.ค. 63 ช่วงบ่าย
ท่านอาจารย์ นางวิสาขา นางขุขชุตตรา ท่านเข้าใจว่าไม่มีเรา การเข้าใจเช่นนี้ จะโกรธน้อยลงไหม เพราะไม่มีเรา มีแต่ธรรม แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ยังอาฆาต พยาบาทต่อไป ดังนั้นชีวิตมีความไม่รู้ มีความประมาทนำไป หรือ ปัญญา ถ้าโกรธเขาก็กิเลสเราเองแหละ ถ้าเข้าใจ จะเมตตา หวังดีกัน
เราละความติดข้องไม่ได้ เราละความอยากไม่ได้ แต่ขณะที่เข้าใจ ลดลงนิดนึงใช่ไหม เมื่อก่อนเคยเสียดาย แต่เริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรม ก็เริ่มคลายความติด
ชีวิตประจำวันจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามีปรากฎบ้างไหมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
ปัญญาจึงประเสริฐสุด เพราะโลภะระดับไหน ปัญญาก็สามารถรู้ได้ ไม่ใช่ไปหวั่นเกรงกลัวโลภะ เพราะปัญญาสามารถรู้ความจริงของโลภะได้
แต่ละขณะเติมไปเรื่อยๆ หรือเปล่า แต่เติมน้ำตาล หรือเติมเผ็ด สิ่งที่มีทุกวันไม่เคยรู้ แต่พอฟังคำของพระพุทธเจ้าก็เริ่มรู้เข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ ค่อยๆ เพิ่ม มีปัญญาทีละเล็กละน้อย ตามกำลังของความเข้าใจ จะเติมเยอะๆ ได้ไหมคะ ตามเหตุตามปัจจัยต้องมั่นคงค่ะ
ชาตินี้ก็จะหมดไป ได้มาเดี๋ยวนี้ก็หมดไป ทุกอย่างที่เกิดมีการดับไปเป็นธรรมดา ค่อยๆ เข้าใจ น้อมไปทีละหน่อยว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืน
ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่ไปตามหนังสือเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ฟังธรรมก็ฟังเรื่องจริง ชีวิตจริง จนกว่าจะเข้าใจขึ้นว่าเป็นธรรม
มั่นคงว่าทุกอย่างแต่ละคนก็ตามเหตุปัจจัย และธรรมทั้งหลายก็หลากหลายมาก และสะสมมาแสนโกฏิกัปป์ แล้วเราจะทำอะไรกับใครได้ แต่ละคนก็ตามเหตุปัจจัย ดังนั้นเป็นเราเป็นเขาโดยสมมติแต่จริงๆ แล้วเป็นธรรมทั้งหมด เขาจะเข้าใจ ไม่เข้าใจ เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่จะบังคับให้เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ถ้าเข้าใจเช่นนี้ก็เดือดร้อนน้อยลงเพราะเข้าใจอนัตตา
วันหนึ่งก็ต้องจากกันไป ค่อยๆ คลายความยึดมั่น ไม่มีเราชาติก่อน ไม่มีเราชาตินี้ด้วย ดังนั้นไม่มีของเราที่จะยึดมั่น เพราะมีแต่ธรรม เข้าใจเท่าไหร่ก็คลายความเป็นเรา
สารธรรม 4 พ.ค. 63 ช่วงเย็น
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีวันที่ตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะมีโอกาสได้ยินได้ฟังคำทีเ่ป็นคำจริงไหม วันสำคัญของพระองค์คือตรัสรู้ละกิเลสได้หมด อันแสดงถึงการบำเพ็ญบารมีของพระองค์ แล้ววันสำคัญของเราคือเข้าใจพระธรรม ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม จะเห็นความสำคัญของวันสำคัญของพระองค์ไหม เพราะฉะนั้นต้องเห็นค่าของปัญญา ดังนั้นวันที่เข้าใจความจริงในขณะนี้ นั่นแหละค่ะวันสำคัญ
กุศลจะกล้าออกจะอกุศล ต้องรู้ ต้องมีปัญญาใช่ไหมคะ ไม่ใช่ไม่รู้แล้วจะออกจากอกุศลได้ ต้องเข้าใจว่า ไม่มีใครห้ามอะไร มีแล้วเกิดแล้ว แม้อกุศล ก็เกิดแล้ว แล้วถ้าความเข้าใจหรือปัญญาถ้าไม่ถึงระดับจะออกจากอกุศลได้ แล้วปัญญาถ้ามีกำลัง ปัญญาออกเอง ต้องมีใครมาบอกให้ออกเอง นี่คือความเข้าใจว่าไม่มีเรา ไม่มีตัวตน บังคัฐบัญชาไม่ได้
แล้วกล้าที่จะเห็นตามความป็นจริงไหมว่าไม่ใช่เราละ แต่เป็นความเห็นถูก อกุศลเขามีเยอะ ใครจะไปห้ามอกุศลได้ มีเหตุปัจจัยก็เกิดแล้วถ้ามีปัญญามีกำลังมาก ใครจะห้ามไม่ให้ปัญญาละอกุศลก็ไม่ได้ ทั้งหมดคือไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ฝืนนะคะ ถ้าชอบร้องเพลง ก็ร้องเพลง จนกว่าจะเข้าใจว่าเป็นธรรมในขณะนั้น
ปัญญามีน้อยค่ะ พฤติกรรมก็แสดงอยู่แล้ว ปัญญายังไม่ถึงขั้นปฏิบัติ รู้ลักษณะของสภาพธรรมเลย ดังนั้นจึงไม่มีใครทำอะไรได้เลย นอกจากเข้าใจว่าไม่มีเรา
สนทนาธรรมเพื่ออะไรคะ เพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ไปถามคำ หาคำ ก็ไม่พ้นจากโลภะ ความต้องการ มีเราแล้วตั้งนาน แล้วก็เป็นเราต่อไปอีก ที่อยากรู้คำนั้นคำนี้ เพราะไม่แยบคาย ดังนั้นฟังทุกทางเพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เรา
ถึงจะดีสักเท่าไหร่ ก็ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจธรรม คือ ดีก็ไม่ใช่เรา ไม่ดีก็ไม่ใช่เรา เป็นธรรม ดังนั้นถ้าเข้าใจผิด ก็คือคิดว่า มีเราที่เคี่ยวเข็ญได้ให้เป็นคนดี แต่ไม่ได้รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ถ้าเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นว่าไม่ใช่เรา เบาสบายที่จะไม่ทำ
การจะเข้าใจว่าทุกอย่างมีเพราะเหตุปัจจัย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่เดือดร้อน ถูกใครว่าก็ไม่เดือดร้อนเพราะอกุศลของเขา จะไปเดือดร้อนอะไร เพราะไม่มีเรา ไม่มีเขา นั่นคือ รักษาจิต เมื่อมีอุปนิสยโคจร เห็นคุณ เห็นประโยชน์ที่เข้าใจว่าไม่ใช่เรา ก็อารักขา ให้ไม่ไปสู่ทางที่ไม่ดี
แม้จะอกุศลมากเท่าไหร่ แต่ผู้ที่บำเพ็ญบารมี อบรมปัญญาทีละน้อยพบพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ก็อดทน ดังนั้นค่อยๆ เข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา ทีละเล็กน้อย พออกุศลเกิดแสดงแล้วว่าไม่ใช่เรา แม้เพียงทีละก้าวเหมือนมดขึ้นภูเขาสิเนรุ ไม่ประมาทในกุศลแม้เพียงเล็กน้อย
มีจิตเบิกบานที่จะไม่มีมีตัวตนที่จะทำยังไงให้เข้าใจ อบรมไปด้วยความไม่ใช่เรา ทีละน้อย
เข้าใจแค่ไหน ก็เข้าใจแค่นั้น เพราะไม่ใช่เราที่เข้าใจ เป็นผู้ตรงต่อความจริง
ธรรมจริงๆ แล้วเป็นปกติ มีแล้วแต่ไม่รู้ คิดจะทำเมื่อไหร่ก็ไม่มั่นคงว่าไม่ใช่เรา
สารธรรม 2 พ.ค. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ ... แทนที่จะเข้าใจตัวธรรมที่ได้ฟังมา แต่ก็ไปหาชื่อว่าเขาเรียกว่าอะไร ไม่ได้เข้าใจตัวจริงขณะนี้ ดังนั้น ฟังธรรมด้วยความแยบคาย คือ ค่อยๆ ฟังสะสมว่าไม่มีเรา ไม่มีใครทำเกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่ไม่ใช่ขวนขวายไปหาชื่อธรรม ก็เป็นตัวเราที่ฟุ้งซ่าน ก็เป็นการศึกษาอภิธรรมไม่ดี ก็ฟุ้งซ่าน เป็นการศึกษาธรรมที่ไม่แยบคาย
ประโยชน์ยิ่งในชาตินี้ที่ได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ไม่ประมาทว่าพระธรรมที่พระองค์ง่าย ยังไม่รู้ขณะนี้เลย ก็จะไปชื่อโน้นชื่อนี้ เรียนด้วยความเป็นตัวตน แต่เรียนเพื่อเข้าใจความจริงในขณะนี้ นี่คือการตั้งจิตไว้ชอบ
อยากจะเรียกชื่อให้ถูกแล้วได้ประโยชน์อะไร คะ เห็นไหมปัญญาแม้นิดเดียว จะไม่พาไปสู่ทางผิด แต่โลภะ นี่พาผิดตลอด อริยสัจจะที่ 2 คือ ละโลภะ แล้วไม่เห็นตัวโลภะ อยากจะเรียกชื่อให้ถูก จะละโลภะได้อย่างไร ก็ผิดทางค่ะ แล้วต้องรู้ว่าอะไรผิด แล้วไม่ใช่ใครรู้ว่าอะไรผิดนะคะ ปัญญารู้ค่ะ แล้ว เรียนหาชื่อธรรมตลอดทั้งชาติ มีประโยชน์อะไรไหม คะ
บอกได้มีจิต 89 มีเจตสิกเท่าไหร่ รอบรู้หรือเปล่า แค่พูดตาม แต่ขณะนี้เข้าใจไหมว่าเป็นธรรม แล้วจะเรียกอะไรไหม คำนี้อะไรดี คิดอะไรก็ไม่รู้ ด้วยความเป็นเรา เห็นไหมคะว่าความไม่รู้พอกพูนและก็โลภะพาไปตลอด
เคยได้ยินว่าปลาทองปากเหม็นไหมคะ ปลาทองเก่งนะคะ ฟังปริยัติ รู้ปริยัติ แต่ด้วยความเป็นเรา สามารถทำสิ่งที่ผิดได้ด้วยความเป็นเรา เพราะฉะนั้นพระธรรมประมาทไม่ได้เลย เหมือนพระธรรมคำสุดท้ายที่พระองค์จะปรินิพพาน จงยังความประมาทให้ถึงพร้อม ทรงเตือน เพราะเราพร้อมที่ผิดตลอดเวลา
กว่าจะรอบรู้ มั่นคง คือ เข้าใจจิตเข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรมจนมั่นคง ชื่อว่ารอบรู้ การเข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ชื่อว่ารอบรู้
ไม่ประมาทในกุศลเล็กน้อย แล้วจะไปละตัวตน แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจ จะเขี่ยวเข็ญให้ตัวเองได้หรือ ไม่ลืมค่ะ ทั้งหมดเพื่อละความเป็นเรา เจริญกุศลเพราะเข้าใจว่าไม่ใช่เรา หนทางอื่นไม่มีเลยค่ะ บารมีทั้งหมด ประเสริฐสุดคือปัญญา เป็นเราทั้งตัว และจะละความเป็นเราได้อย่างไร พูดจิตกี่ดวง เจตสิกกี่ดวงประโยชน์อะไร ถ้าในชีวิตประจำวันยังเป็นแบบนี้ที่ไม่เข้าใจว่าไม่ใช่เรา หนทางต้องละเอียดลึกซึ้งเพราะความเป็นเรามีทั้งวัน ดังนั้นความดีทุกประการก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามความเข้าใจของธรรม หนทางอื่นที่จะทำให้ดีไม่มีทางเพราะเป็นทางของความไม่รู้
สาระสนทนา 1 พ.ค. 63 ช่วงเย็น
ท่านอาจารย์ บอกว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม ทำไม่ได้เป็อนัตตา ก็จะทำ ไม่ต้องไปทำอะไร เข้าใจในสิ่งที่เกิดปรากฎ เข้าใจในสิ่งที่เกิดว่าเป็นแบบนี้ เพราะมันเกิดแล้ว จะไปทำอะไรหละคะ
ฟังแล้วเป็นเรื่องละจริงๆ ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรเลย ถ้าเข้าใจมากขึ้นก็จะไม่ทำ อย่างเห็นขณะนี้ จะทำอะไรคะ เกิดแล้ว
คิดดูแล้วกันคะ สะสมกิเลสมาหนาเตอะ แล้วจะไปทำอะไรกับโลภะ แล้วก็สนุกสนานที่อยากจะทำกันใหญ่ ด้วยความเป็นเรา
มีธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้าฟังแล้วเข้าใจว่าไม่มีเราถูกไหม เพราะฉะนั้นพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งให้รู้ความจริง ว่าไม่มีเรา เกิดตามเหตุปัจจัย ความเข้าใจเช่นนี้เป็นที่พึ่ง เบาสบายขึ้น เพราะเข้าใจว่าเป็นธรรม
ความจริงที่แท้ในโลกในทุกแห่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีเหตุแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ดับเท่านั้นเอง นี่คือแสดงถึงความไม่ใช่เรา
แต่ละชาติของพระอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสดงถึงความจริงที่เหมือนกัน ก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่เหลือเลย แล้วเราจะเกิดมาไม่รู้อีก เกิดมาแล้วก็ติดข้อง หรือจะเกิดมาเพื่อเข้าใจความจริง เริ่มเห็นโทษของการมีชีวิตอยู่ที่ไม่รู้
กำลังบันเทิง อยู่ไหน ทางตาบันเทิง ทางหูบันเทิง แล้วอยู่ไหน หมดแล้ว และที่ติดข้อง เพราะไม่รู้ แต่หนทางที่รู้ความจริงมี แม้แสนยาก แต่ค่อยๆ อบรมก็ค่อยๆ รู้ได้
จะทำอะไรด้วยความเป็นเรา ไม่ได้เข้าใจความเป็นอนัตตา ความจงใจ ตั้งใจมีเต็มที่ ที่ถูกต้องคือเข้าใจว่าไม่มีเรา ไม่มีรูปแบบ วิธี แต่ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ นี่คือหาประโยชน์จากธรรม ให้นึกคำนี้ เพื่อไม่ให้กิเลสเกิด แต่ป้องกันกิเลสไม่ได้ เพราะมีเราอยู่แล้ว มีความเป็นตัวเรา เพื่อเรา โลภะเขาถึงหลอกล่อได้เก่งที่สุด
ตราบใดที่ยังเป็นเราที่คิดจะละด้วยความเป็นเรา ก็ไม่พ้นจากความอยาก และ ไม่ใช่ทางที่จะละความเป็นเราได้เลย เพราะทางที่ถูกคือทางของความเป็นอนัตตา
การเข้าใจธรรมที่ละเอียด คือ เข้าใจสิ่งที่ปรากฎขณะนี้ ไม่ใช่เพียงชื่อ ขณะนี้เห็นทางตา ไม่ใช่เพียงชื่อ ขณะนี้ได้ยิน ไม่ใช่เพียงชื่อ เพราะฉะนั้นละเอียดกว่านี้ ไม่ใช่แค่ขั้นการฟัง แต่ เป็นปฏิ- ปัตติ คือรู้ตัวจริงธรรม ที่เริ่มจากหนทางที่เป็นอนัตตาตลอดทาง ดังนั้นขณะนี้ทุกอย่างรวมเป็นสิ่งต่างๆ เป็นโต๊ะเป็นสิ่งต่างๆ แต่แท้ที่จริงเป็นธรรมที่เกิดดับแต่ละอย่าง แต่ละขณะ เกิดขึ้นและดับไป นี่คือความละเอียดของธรรม
การจะละความสงสัย ก็คือ รู้ความจริงที่กำลังมีในขณะนี้ ไม่ต้องไปทำอะไรเลยสักอย่างใช่ไหมคะ เพียงรู้สิ่งที่กำลังปรากฎ
จับด้ามมีด วนไหม เดี๋ยวก็มาจับ เดี๋ยวก็มาจับ ไม่จับตรงนี้แล้วไปจับตรงไหน ไม่จับแล้วเมื่อไหร่จะสึก เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ความจริงในขณะนี้ จนกว่าจะประจักษ์ความจริงก็จะไม่สงสัย
ธรรมที่ผิดก็คือผิด ธรรมที่ถูกก็คือถูก ทางที่ถูกคือ ทางเป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่ทางผิดก็คือทางของความเป็นเรา
สาระสนทนา 1 พ.ค. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ ... ไม่ลืมว่าเป็นเรา เพราะเป็นเรามาเนิ่นนาน ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่าทำไมต้องเป็นเรา เพราะฉะนั้นใครจะไปพากเพียรด้วยความเป็นเรา จะหมดความเป็นเราได้ไหม ดังนั้นสำนักปฏิบัตไปทำอะไรกัน
ถ้าอยากรู้อย่างอื่นไปเรื่อยๆ จะรู้สิ่งที่กำลังมีหรือเปล่า การเรียนธรรมเพื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่ไปคิดอย่างอื่นมากมาย จะรู้สิ่งที่ปรากฎได้ไหม แต่ไม่ใช่ไปรู้ทุกคำตามคำพระพุทธเจ้า นี่ก็จุดประสงค์ก็ต่างกันแล้ว
ชีวิตประจำวันจึงเป็นเครื่องสอบปัญญาความรู้ความเข้าใจ เข้าใจธรรมแค่ไหน แม้สภาพธรรมที่เกิด ก็เข้าใจได้ว่าไม่ใช่เรา
และความเข้าใจอย่างไรที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไปอยากรู้วิถีจิตอย่างโน้นอย่างนี้ นั่นเป็นความอยากด้วยความเป็นเรา แล้วก็ไปอ่านพระไตรปิฎกเล่มนู้นเล่มนี้ อยากรู้นั่นรู้นี่ สนองความต้องการ
สาระสนทนา 29 เม.ย. 63 ช่วงเย็น
ท่านอาจารย์ เปิดตำราเลย คำนี้หมายถึงอะไร คำนั้นหมายถึงอะไร แต่ไม่รู้เลยว่าคำนี้กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง อย่างคำว่าเห็น ก็คือให้เข้าใจเห็นขณะนี้ แต่ไม่ใช่วิเคราะห์ศัพท์นั้น ศัพท์นี้ ปริยัติ คือ การฟังพระพุทธพจน์เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ให้ถูกต้อง อย่างตา และการเห็นเกิดขึ้นได้เพราะอะไร แต่ไม่ใช่ไปเรียกชื่อว่าเพราะปัจจัยอะไร ดังนั้นไม่ใช่เรียนแบบวิชาการ แต่เพื่อเข้าใจถูกต้องในสภาพธรรมในขณะนี้ "ถ้าไม่ใช่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เรียนไปทำไม เพราะฉะนั้นศึกษาให้เข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา"
สาระสนทนา 29 เม.ย.63 ช่วงเช้า
ถาม ฟังธรรมด้วยความละเอียดคืออย่างไรคะ
ท่านอาจารย์ ฟังเพื่อเข้าใจถูกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเราที่อยากจะเข้าใจ
สาระสนทนา วันอังคาร 28 เม.ย. 63 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ ประโยชน์ของการศึกษาธรรมอยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้นเราไม่ได้จบแค่ปัญจทวารวิถี มโนทวารวิถี ถึงชวนะ เขาจะรับต่อไหม มันจะต่อไปอีกทุกคำที่ผ่านหูเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็สะสมความไม่รู้และความสงสัย แทนที่จะรู้ว่าความเป็นจริงมันดับหมดแล้ว มันไม่มีแล้ว จึงไม่ใช่เรา : การเข้าใจว่าไม่ใช่เราจึงเป็นประโยชน์สูงสุด : ทำไมถึงเป็นประโยชน์สูงสุด เพราะเราไปติดคำว่าเรามาในสังสารวัฏฏ์ จะไปเอาออกได้ยังไงในเมื่อมันผิด ก็มีแต่คำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงตรัสรู้ ระดับปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าระดับไหน แล้วได้ยินคำต่างๆ ก็จะไปอยากรู้หมดเลย โวฏฐัพพนะ อย่างนั้นอย่างนี้ก็คิดไป เพราะเจอคำอะไรอีกก็คิดไป เจอคำอะไรก็คิดไป รับรองได้ด้วยความเป็นเรา ฟังธรรมด้วยความเป็นเรา ไม่รู้เลยว่าประโยชน์จริงๆ คือ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจว่าไม่มีเรา อีกนานเท่าไหร่ แล้วเรามัวเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้ แล้วต่อไปจะอีกนานเท่าไหร่ เพราะว่าความเป็นเราในแสนโกฎกัปสะสมมาเท่าไหร่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากี่พระองค์ผ่านไปแล้วกี่พระองค์ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร ไม่นับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ และไม่นับพระพุทธเจ้าที่ยังไม่มาถึง ความไม่รู้ของเราก็สะสมมากขึ้น แล้วเราก็มาจับคำของพระพุทธเจ้าแล้วก็มานั่งสงสัยด้วยความเป็นตัวตน ว่าเอ๊ะเรายังไม่รู้ตรงโน้นตรงนี้ เรายังสงสัยตรงนี้ เราอยากรู้ตรงนี้ รู้ไหมว่ากำลังจะถามว่า อยากรู้ ไม่เห็นตัวนี้เลย แล้วอริยสัจจธรรมจะปรากฎได้อย่างไร ในเมื่อทุกขอริยสัจจะ ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้อะไรก่อน จะไปนั่งรู้โวฏฐัพพนะเหรอ คะ แค่ได้ฟัง ไม่มีทางที่จะรู้ได้ แล้วประโยชน์อยู่ตรงไหน แต่เห็นกำลังมี ตรงนี้ซิ เห็นจริงๆ ติดข้องจริงๆ ก็ต้องฟังจนกว่าจะคลายความไม่รู้ เพื่อประโยชน์ว่าไม่ว่าโลภะเกิด แม้เมื่อกี้ที่อยากจะรู้ชื่อ ก็รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะดับ ละความเห็นผิดได้เลย เพราะฉะนั้นโลภะเป็นสมุทัยก็ไม่ได้ละเลย เพราะฉะนั้นก็ฟังเป็นเรื่องเป็นราวไปทุกชาติ ก็ได้แค่นั้นแหละ และก็ได้ความสงสัยเพิ่มขึ้นและก็ได้ความเป็นเราเพิ่มขึ้น
สาระสนทนา เสาร์ที่ 25 เม.ย. 63 ช่วงบ่าย
ท่านอาจารย์ เริ่มเห็นความยากของธรรมนั่นคือปัญญา และเริ่มเห็นประโยชน์แล้วใช่ไหมคะที่ไม่รู้ความไม่รู้จริงและไม่รู้มากหรือไม่รู้น้อย แต่ถ้าเป็นปัญญาคือ "เริ่มจากความไม่ใช่เรา" ค่อยๆ เห็นจริงขึ้นว่าไม่ใช่เรา ถ้ารู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา จะหวงแหนติดข้อง จะโกรธคนโน้นคนนี้ไหมคะ ก็ค่อยๆ น้อยลง เพราะเริ่มเข้าใจว่าไม่มีเรามีแต่ธรรม แต่ถ้าเป็นเรามากๆ อยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีทางละได้เลย
อยากรู้ชื่อ อยากเข้าใจชื่อธรรม หรือ ศึกษาฟังเพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม ฟังธรรม ถ้าจะเลือกรู้สภาพธรรม ก็ไม่พ้นจากความต้องการ เห็นโลภะไหมคะอยู่ไหน แฝงลึกมานานแสนนาน ตั้งแต่เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นฟังธรรมก็เพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม เพื่อเข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้
สาระสนทนา เสาร์ที่ 25 เมษายน 2563 ช่วงเช้า
ท่านอาจารย์ วันหนึ่งเคยคิดบ้างไหมว่าความโกรธไม่ดี มีบ้างไหม บ่อยไหม ที่คิดแบบนี้ แสดงค่ะว่าสะสมความไม่รู้ และ ความไม่ดีมามากแค่ไหน
คนที่เรากำลังโกรธเขาสุขสบาย แต่เราก็ทุกข์เดือดร้อนที่โกรธไม่ชอบเขา เคยคิดบ้างไหมว่าโกรธไม่ดี เพราะฉะนั้นชีวิตจริงๆ เป็นเครื่องทดสอบในชีวิตประจำวันว่ามีแค่ไหน
แต่ถ้าเริ่มรู้ว่าไม่ใช่เรา ก็ค่อยๆ ขัดเกลาเพิ่มขึ้นตามลำดับ กว่าจะถึงวันนั้น อย่างท่านพระสารีบุตรที่จะเป็นผ็าเช็ดธุลี ก็ค่อยๆ ขัดเกลาไปจนเป็นผ้าเช็ดธุลี
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
กราบแทบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่งเหนือเกล้า
ขอบคุณและอนุโมทนาท่านที่ได้รวบรวมและเรียบเรียงสิ่งที่มีค่ายิ่งนี้ไว้แล้ว
กราบขอบคุณและอนุโมทนาอย่างยิ่งคุณจั๊บ ผู้ริเริ่ม และพี่แอ๊ว (ฟองจันทร์) ผู้ประสานงานงาน และอัดเสียงและถ่ายทอดการแสดงธรรมของท่านตลอดเกือบสองเดือนนี้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
กราบขอบคุณและอนุโมทนากับกลุ่มสนทนากับท่านอาจารย์ทุกกลุ่มกับคำถามต่างๆ ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราได้ฟังการแสดงธรรมอันล้ำค่านี้ของท่านอาจารย์
ท้ายนี้ขอขอบคุณและอนุโมทนากับคุณเอ็มและทีมงานการถ่ายทอด ของ มศพ ยิ่งค่ะ