เริ่มตื่นจากความไม่รู้หรือยัง ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

 
khampan.a
วันที่  20 มิ.ย. 2563
หมายเลข  31961
อ่าน  1,597

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ประมวลสาระสำคัญ

จากการสนทนาธรรม

ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

วันเสาร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๓







~ จะบวช แล้วรู้จักบวชหรือเปล่าถึงจะบวช? วันนี้ก็เป็นวัน “ผู้ตรง” ซึ่งความตรงก็จะทำให้เข้าใจถูกต้องว่า อะไรถูก อะไรผิด เพราะว่า เราไม่สามารถที่จะคิดเองได้ จึงต้องอาศัยผู้ที่ทุกคนรู้ว่าไม่มีใครที่จะมีปัญญาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและทรงแสดงพระธรรมไว้ถึง
๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้น ทุกคำที่มีคนที่สงสัยแต่ละคำพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงถึงที่สุด แม้แต่คำว่า บวช

~ บวช หมายความถึง สละทั่ว หมายความว่า สละบ้านเรือนทรัพย์สมบัติทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่ออะไร? ไม่ใช่ทำไปโดยไม่รู้และก็ไม่มีเหตุผลเลย แต่ว่าไม่ว่าการกระทำใดๆ ก็ตาม ต้องเป็นไปเพื่ออย่างหนึ่งอย่างใดแล้วแต่ว่าคนนั้นทำเพื่ออะไร เพราะฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สละทรัพย์สมบัติ ราชสมบัติทุกสิ่งทุกอย่างแม้ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อที่จะได้มีสิ่งที่ประเสริฐกว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมเท่านั้น ที่จะเห็นคุณค่าของการที่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงถึงที่สุด คือ สามารถที่จะดับความไม่รู้และกิเลสคือความไม่ดี

~ อยู่ในโลกด้วยความไม่รู้ แต่พอได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็รู้ว่าอัธยาศัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ ในครั้งพุทธกาล จึงมีผู้ที่ได้ฟังแล้วบวชและมีผู้ที่ฟังแล้วไม่บวช แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจธรรม จนเป็นคนดีและละกิเลสถึงความเป็นพระอริยบุคคลในเพศคฤหัสถ์ เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หมอชีวกโกมารภัจจ์ ก็ได้เป็นพระโสดาบัน

~ สิ่งที่ควรจะรู้อย่างยิ่ง คือ ทุกขณะที่เป็นความเข้าใจ ตรงนั้นแหละเป็นประโยชน์ที่สุด

~ ความเห็นที่ถูกต้อง ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนได้ เป็นสมบัติที่ประเสริฐ เพราะเหตุว่า แม้ใครทั้งโลกจะเข้าใจผิด แต่ความจริง ความถูก ต้องเป็นความถูก เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจความถูกต้อง ได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิตที่จะไม่เข้าใจผิดเห็นผิดตรงข้ามกับความจริง ซึ่งขณะนี้ความจริงเป็นความจริงทุกกาลสมัย ไม่เปลี่ยนเลย

~ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี คือ คุณความดีทั้งหมดนานเท่าไหร่กว่าจะได้รู้ความจริง ซึ่งผู้ที่ฟังพระองค์สามารถเห็นความเป็นพุทธะผู้ตรัสรู้ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างโดยประการทั้งปวงจนกระทั่งผู้นั้นสามารถที่จะเป็นคนที่ตรง เห็นโทษของความไม่ดีและก็รู้ว่าความไม่ดีสามารถจะค่อยๆ หมดไป ถ้าไม่รู้เมื่อไหร่ (ความไม่ดี) ก็เพิ่มขึ้นๆ ทุกวัน อย่างเราเห็นเด็กเล็กๆ น่ารักมาก ช่วยเหลือผู้ใหญ่ด้วย ทำความดีตั้งหลายอย่าง พอโตขึ้นเป็นอย่างไร? เป็นคนเลวก็ได้ ฆ่าคนก็ได้ ทุจริตต่างๆ ได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะไม่รู้ความจริงและก็ยึดถือในความเป็นเราจนกระทั่งสามารถที่จะทำทุกอย่างได้ เพื่อเรา แต่ก็จากโลกนี้ไปไม่เหลือความเป็นบุคคลนี้อีกเลย เป็นคนนี้ได้เพียงชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ชาติก่อนเป็นใคร มาจากไหน สุขทุกข์ประการใด ทรัพย์สมบัติเงินทองเกียรติยศชื่อเสียง ไม่เหลือเลย เพราะจริงๆ แล้ว ก็คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อย่อยลงไปละเอียดยิบ ก็คือ กำลังเกิดดับทุกขณะ นี่คือ พุทธะ ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ความดีก็จะเพิ่มขึ้น เพราะรู้ว่าโทษของอกุศล มากมายมหาศาลแค่ไหน เท่าที่มองเห็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เห็นแต่อกุศล มาจากไหน? มาจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่รู้จริงๆ ก็จะทำสิ่งที่ไม่เป็นโทษกับตัวเองกับประเทศชาติกับโลก

~ พ่อแม่ต้องการให้เราทำอะไร เพื่อเราจะได้ทำในสิ่งที่เป็นคุณ เพราะพ่อแม่ ไม่หวังโทษกับลูกเลย ถ้าเราประพฤติไม่ดี แทนคุณพ่อแม่หรือเปล่า? พ่อแม่ ต้องการให้เราเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น จะคิดแทนคุณพ่อแม่ เป็นคนดี นั่นเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ พ่อแม่บางคนไม่ได้ต้องการทรัพย์สมบัติอะไรจากลูกที่จะให้มาตอบแทนเลย แต่อยากให้ลูกเป็นคนดี เพราะฉะนั้น แทนคุณพ่อแม่ได้ทุกวัน ไม่บวชก็แทนคุณได้ แต่ถ้าบวชแล้วไม่รู้ว่าบวชคืออะไร เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น เป็นประโยชน์หรือเปล่า?

~ พ่อแม่ชื่นใจ มีความสุขที่มีลูกเป็นคนดี ถ้าลูกคนไหนทำความดี เป็นที่รัก พ่อแม่ก็ปลาบปลื้มใจว่ามีลูกเป็นคนดี เป็นที่รักของเพื่อนฝูงและคนอื่นๆ

~ เมื่อไม่รู้ ก็ดีไม่ได้และทำสิ่งที่ผิดด้วย เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่งที่จะต้องเห็นประโยชน์ของความเข้าใจถูก เพื่อที่จะดำรงรักษาสิ่งที่ถูกต้องให้คนอื่นได้มีโอกาสที่จะได้เข้าใจและก็พิจารณา

~ ข้อความในพระไตรปิฎก ก็แสดงอยู่แล้วว่า เมื่อบวชแล้ว ต้องระลึกว่า “เราไม่ใช่คฤหัสถ์อีกต่อไป” เพราะฉะนั้น จะไม่รู้หน้าที่ของภิกษุไม่ได้เลย เป็นภิกษุแต่ไม่รู้ว่าภิกษุคือใคร แล้วจะเป็นภิกษุได้หรือ? ด้วยเหตุนี้ ภิกษุในพระธรรมวินัย ต้องประพฤติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติ มิฉะนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น บวชโดยไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วก็ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยด้วย ก็เป็นโทษอย่างยิ่ง

~ พระธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางและงามในที่สุด เพราะฉะนั้น ภิกษุต้องเป็นผู้ที่เข้าใจอย่างนี้จึงจะเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย เมื่อสละสมบัติทุกสิ่งทุกอย่างในเพศคฤหัสถ์แล้วจะรับเงินทอง ได้อย่างไร

~ อลัชชี คือ ผู้ไม่มีความละอายต่อความประพฤติของตน ซึ่งเขามาแสดงความนอบน้อมนำสิ่งมาบูชา แต่ตนเองไม่ได้มีคุณความดีอย่างนั้นเลย แต่รับ นั่นคือ ผู้ไม่ละอาย เป็นอลัชชี สารพัดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโทษของผู้ที่ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่าเพศบรรพชิตจริงๆ แล้วเป็นเพศของพระอรหันต์ ผู้ที่สามารถดับกิเลสในเพศคฤหัสถ์ได้สามารถที่จะถึงความเป็นพระโสดาบัน ขัดเกลากิเลสต่อไปถึงระดับขั้นพระสกทาคามีบุคคล ดับต่อไปอีกเพราะกิเลสมีมากมายต้องดับไปตามลำดับขั้นเป็นพระอนาคามีบุคคล ต่อเมื่อไหร่เป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นอยู่ในเพศคฤหัสถ์ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ภิกษุคือเพศของพระอรหันต์ ผู้ที่บวชครองผ้ากาสาวพัสตร์ ทำทุกอย่าง ทั้งการสละอาคารบ้านเรือนเพื่อแสดงตนประกาศเปิดเผยว่าเป็นผู้ที่จะขัดเกลากิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น จึงมีทั้งการศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพมีความเข้าใจและประพฤติขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ โดยต้องประพฤติตามสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ด้วยพระองค์เอง ว่า ภิกษุคือผู้ที่ขัดเกลากิเลสจะต้องมีกายวาจาอย่างไร ถ้าไม่ประพฤติตามนั้น ต้องโทษเป็นอาบัติที่จะต้องแสดงโทษของตนเองประกาศให้รู้ จึงสามารถที่จะคืนสู่เพศบรรพชิตเข้าสู่หมู่คณะเป็นภิกษุสงฆ์เป็นคณะของภิกษุในพระธรรมวินัยได้ นั่นคือ ผู้ละอาย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีคุณความดีอะไรเลยแล้วเขาเอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาให้แล้วรับไว้สมควรไหม เป็นโทษระดับไหน?

~ แค่เพียงจะบวช บวชทำไม บวชเพื่ออะไร? ต้องตรง ถ้าไม่ตรง ก็เป็นโทษ เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่จริง บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าใครจะบวชก็บวช อยากบวชก็บวช บางคนไม่ทำอะไรก็บวช เพราะไม่รู้จะทำอะไรก็บวช อย่างนั้นถูกต้องไหม จริงใจหรือเปล่า เคารพในพระธรรมวินัย เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? เพราะว่า ที่ทรงอนุญาตให้คนบวชได้ดำเนินรอยพระบาทที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตสำหรับผู้ที่มีอุปนิสัยที่จะบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์หรือว่าสามารถที่จะดำเนินชีวิตในเพศบรรพชิตได้โดยสะดวกสบายไม่ลำบาก แต่ถ้าลำบาก ก็หมายความว่า ไม่มีอัธยาศัยที่จะเป็นอย่างนั้นได้ ก็เป็นคฤหัสถ์ด้วยความตรงและความจริงใจ

~ ภิกษุทุกรูป รู้ว่า พระธรรมวินัยเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้และทรงบัญญัติไว้ โดยเฉพาะพระวินัย พระองค์ทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง คนอื่นไม่สามารถที่จะบัญญัติความละเอียดอย่างยิ่ง เพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะรู้ความตื้นลึกหนาบางของกิเลสอย่างถ่องแท้ เพราะฉะนั้น ด้วยพระปัญญาคุณที่ได้ทรงตรัสรู้ว่าผู้ที่จะเป็นเพศบรรพชิตคือผู้ที่จะสละความเป็นคฤหัสถ์ได้จริงๆ เพื่อที่จะมุ่งที่จะเข้าใจพระธรรม ต้องประพฤติอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้ ในความเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุในครั้งพุทธกาลที่ทำสังคายนา (รวบรวมพระธรรมคำสอน) โดยพระมหาเถระผู้ทรงคุณทั้งหลาย ไม่มีการที่จะเพิ่มเติมหรือตัดสิ่งที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติแล้ว เพราะเหตุว่า เคารพสูงสุดในพระรัตนตรัย

~ ถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย จะรู้ไหมว่าภิกษุเป็นใคร เพราะฉะนั้น ภิกษุใด ประพฤติอย่างคฤหัสถ์ ผู้นั้นไม่ใช่ภิกษุ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างโดยประการทั้งปวงถึงที่สุด ทรงแสดงพระธรรมให้เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจความจริง จึงสามารถมีปัญญา ซึ่งปัญญานั่นแหละ เห็นว่า อะไรถูก อะไรควรแล้วก็ละเว้นสิ่งที่ไม่ควรยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ จึงมีความต่างกันระหว่างคฤหัสถ์กับบรรพชิต

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวย (บริโภคอาหาร) หรือเปล่า? เสวย แล้วอย่างไร พระองค์ทรงเป็นคฤหัสถ์หรือเปล่า? พระองค์ ไม่ใช่คฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น ไม่ต่างกันที่ชีวิตประจำวัน แต่ต่างกันที่ปัญญา

~ ข้อสำคัญที่สุด คือ ความเข้าใจถูกต้อง ต้องตรงตามความเป็นจริง ขณะนั้นก็สามารถที่จะรู้ว่าอะไรเป็นโทษอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ดีและอะไรเป็นสิ่งที่ดี ถ้ารู้อย่างนี้จริงๆ จะทำสิ่งที่ไม่ดีได้ไหม?

~ ควรอย่างยิ่งที่จะถามกัน ว่า “รู้จักพระพุทธศาสนาไหม?” เริ่มตื่นจากความไม่รู้ได้หรือยัง? เพราะเหตุว่า กล่าว่า เป็นเมืองพระพุทธศาสนา แต่ความจริง (เมื่อมีการกระทำที่ผิดมากมายเพราะไม่รู้อะไรเลย) ก็เมืองพระพุทธศาสนาที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาแล้วก็เข้าใจผิดแล้วก็ทำลายพระพุทธศาสนาด้วย ถ้าทำอะไรโดยไม่เข้าใจความจริง ขณะนั้นก็เป็นการทำลายความจริง

~ เกิดมาแล้วต้องตาย จะเป็นคนนี้อีกต่อไปไม่ได้ เป็นคนนี้ได้เพียงชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น แล้วจะเป็นคนที่เข้าใจสิ่งที่มีจริงหรือไม่เข้าใจต่อไปในสังสารวัฏฏ์ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับใครได้ แต่ถ้าจะช่วยประเทศ ช่วยตนเอง ช่วยโลก ช่วยทุกอย่าง ก็ด้วยคุณความดี





...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

อนุโมทนาในกุศลจิตของท่านพลโท ณัฐวุฒิ ชุณหะนันทน์

ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Dusita
วันที่ 21 มิ.ย. 2563

กราบ อนุโมทนา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Nataya
วันที่ 21 มิ.ย. 2563

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Nattaya40
วันที่ 21 มิ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
mammam929
วันที่ 21 มิ.ย. 2563

กราบขอบพระคุณและกราบอนุุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวรเขตต์ และอาจารย์วิทยากรทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
siraya
วันที่ 21 มิ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มกร
วันที่ 21 มิ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 21 มิ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Khemsai
วันที่ 21 มิ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Selaruck
วันที่ 22 มิ.ย. 2563

กราบแทบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่งเหนือเกล้า

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ประสาน
วันที่ 22 มิ.ย. 2563

ยินดีในคุณความดีของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เจียมจิต
วันที่ 22 มิ.ย. 2563

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Napong
วันที่ 7 ก.ค. 2563

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ