เป็นโรคร้ายแรงขอคำแนะนำ
ขณะนี้ ผลการตรวจ สรุปว่าโรคร้ายได้แพร่กระจาย หมอพยายามรักษาสุดความสามารถ แต่ก็คงอยู่ได้อีกไม่เกิน ๓ เดือน มีความเจ็บปวดมากตลอดเวลา เพื่อนๆ สอนให้แยกความเจ็บปวดว่า ไม่ใช่ตัวเรา ก็ทำไม่ได้ ใครมีคำแนะนำที่พอจะบรรเทาความทุกข์ได้ ความเจ็บปวดไม่หยุดเลย
พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ตัวเรา จริงๆ แล้วขณะที่เราฟังธรรมะ ขณะนั้น วิถีจิตทางหูเกิดขึ้น ไม่มีทุกขเวทนา เกิดร่วมด้วย ขณะที่พิจารณาธรรมะ ทางใจ ไม่มีทุกขเวทนาเกิดขึ้น ความเจ็บปวดไม่เกิดตลอดเวลา เวลาที่เหลือ ควรตั้งใจฟังธรรมให้มากๆ เพราะจะเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลตลอดกาลนาน
ทุกคนเกิดมา หนีไม่พ้นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ที่สำคัญ เวลาที่เหลืออยู่นี้เราควรทำความดีมากๆ ทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่าขาดการฟังธรรมะ เพราะพระธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยให้เราคลายความทุกข์ใจลงได้บ้าง ตนต้องเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นช่วยเราไม่ได้หรอก ทำบุญทำทานทุกๆ วัน เพราะทรัพย์ที่เหลืออยู่ แม้แต่น้อยก็ติดตามไปไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะตายหรือจะอยู่
ทุกคนเกิดมา ต้องตายทุกคน หนีไม่พ้นความตาย เราต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ ทำความดีมากๆ ทำจิตใจให้สงบ ฟังธรรม ไหว้พระสวดมนต์อยู่เสมอ ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
เรียนคุณเจ้าของกระทู้ครับ
ในฐานะที่เป็นแพทย์ ที่ให้การรักษาผู้ป่วยอยู่ ในฐานะที่เป็นแพทย์ ต้องเจอกับคนไข้และรับรู้ รับฟังความคิดนึก รู้สึกของผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายต่างๆ นาๆ ทุกวันๆ ลักษณะของคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคร้ายที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ เช่น มะเร็ง เอดส์ โรค หรือ ภาวะอื่นๆ ที่เรื้อรัง สร้างทุกขเวทนาให้กับพวกเค้าเหล่านั้นอย่างมากมายนัก เกือบทุกครั้ง ผมเองก็มีความรู้สึกเศร้า สลดไปกับคนไข้ เกิดทุกข์ขึ้นมาอีก (วิปาก) กับตนเอง แต่สำหรับ คุณธัญญา ผมคิดว่ากรณีของคุณเป็นนั้น ได้มามีโอกาสศึกษาพิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริง ได้เรียนรู้ ได้ศึกษา ธรรมะ สนใจธรรมะนั้น ผมเห็นว่า เป็นผลแห่งกุศลวิปากจิต ที่ได้สั่งสมมาเป็นแน่ คนไข้เกือบร้อยละร้อยสามสิบมักจะต้องทนเศร้าใจ ทุกข์ใจ และหมดกำลังใจ ที่จะต่อสู้กับโรคร้ายทั้งหลาย ขอยกตัวอย่างคนไข้ท่านหนึ่ง ซึ่งป่วยเป็นโรคเอดส์ระยะแรกๆ เพิ่งตรวจพบไม่นาน ตรวจความแข็งแรงทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่เค้าก็มาหาแต่หมอด้วยโรคที่เกิดมาจากความคิด กังวลต่างๆ นาๆ มากมาย มาเกือบทุกสัปดาห์ มาพบแพทย์ทุกครั้ง ก็ได้ยาคลายเครียดไปทานตลอด เหตุเพราะไม่เข้าใจธรรมะ หรือรับรู้ธรรมะเลยแม้แต่น้อย ที่ทราบว่าเค้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตเลยนั้น ก็เพราะว่าวันหนึ่งผู้ป่วยได้มาเจอกับแพทย์ท่านหนึ่ง และได้แพทย์ท่านนั้น พูดคุยกับคนไข้ว่าวันหนึ่งๆ ที่ผ่านไปทำอะไรบ้าง เค้าก็ตอบว่าไม่มีแรงจะทำอะไร เพราะเค้าเป็นโรคร้ายหมอก็รู้ แพทย์ท่านนั้นก็กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นคุณคงกลัวตายใช่ไหม เค้าตอบว่า ไม่ แพทย์เจ้าของไข้ก็เลยว่า ถ้าไม่กลัวตายทำไมถึงมาหาหมอบ่อยๆ นี่แปลว่ากลัวตาย เลยมาหาเกือบทุกอาทิตย์ คนไข้บอกว่า ไม่กลัวตายแต่อยากจะตายอย่างสงบ ไม่อยากทรมาน หมอท่านก็ถามว่า แล้วตอนนี้ล่ะ ทรมานหรือยัง ทุกข์ไหม ที่คิดอยู่เนี่ย ที่คิดว่าอยากจะตายโดยไม่ทรมานเนี่ย มันทุกข์ไหม คุณอาจจะตายเพราะทุกข์นี้แหละ มากกว่าจะตายด้วยโรค แล้วยังว่า คุณรู้ใช่ไหมว่าการคิด การกังวล การที่จิตฟุ้งซ่านเนี่ย คุณเห็นว่าเป็น ทุกข์ไหม ถ้าเป็นทุกข์ คุณจะคิดทำไม ห้ามไม่ให้คิดคงทำไม่ได้ แต่คิดแล้ว พอรู้ว่าทุกข์ก็หยุดคิดซะ คนไข้คนนั้น ขอบคุณคุณหมอคนนั้นมากๆ ครั้งต่อๆ ไป ได้มาเจอกับผม ก็บอกว่าดีขึ้นๆ เรื่อยๆ แต่ก่อนไม่รู้เลย แม้แต่เรื่องของการทำทาน ว่าให้ทานเพื่ออะไร ถือศีลเพื่ออะไร เจริญสติเพื่ออะไร ไม่ทราบ ผมเคยเจอเค้า แล้วเค้าบอกว่า ทำไมต้องทำทาน ที่เค้าทำทานนะ ก็ทำไปเพราะเหตุเห็นว่า คนอื่นทำ และทำตามประเพณี ก็เลยทำ โดยมิได้คิดอะไร ก็เลยลองให้เค้าคิดว่า ถ้าคุณเป็นหมอ แล้วเห็นคนไข้อย่างคุณคุณรู้สึกอย่างไร เค้าบอกว่า สงสาร อยากให้เค้าหาย เราก็เลยบอกว่า เนี่ยแหละแค่คิด แค่นี้ก็คือการมีกรุณา เกิดกุศลจิตเกิดแล้ว และยิ่งได้ให้คำแนะนำอย่างที่หมอท่านนั้นให้คุณละก็ แน่ๆ เลยว่าอย่างน้อยจะก็ต้องมีอาการปิติ อิ่มเอิบใจที่เห็นคุณ พ้นจากทุกข์
แต่ว่าข้อสำคัญ การที่จะให้คนไข้ทุกคน มีความเข้าใจในสภาพธรรมะตามความเป็นจริง ก็คงเป็นไปไม่ได้ ความเป็นไปได้เข้าใกล้ศูนย์ เพราะแต่ละบุคคล มีการสั่งสมกุศลและอกุศลต่างๆ กันมา เลยมีวิปากที่แตกต่างกัน ความเข้าใจก็ต่างกันมากมาย อย่างน้อย ผมก็เป็นกำลังใจให้ คุณธัญญา ให้สู้ต่อ ทุกข์มันเกิด ก็ให้รู้ว่าทุกข์ เดี๋ยวมันก็สุข เดี๋ยวมันก็ ไม่สุขไม่ทุกข์ หาเอาอะไรแน่นอนมิได้ ผมเข้าใจว่าพูดง่าย แต่ทำยาก แต่ถ้าไม่ทำดู จะรู้หรือว่า ธรรมะ นั้นคืออะไรกันแน่
เพิ่มเติมอีกนิดครับ โปรดจำไว้ว่า แพทย์มิได้เป็นคนชี้ชะตาชีวิตของคนไข้ ไม่สามารถจะบอกว่า คุณจะอยู่ได้เท่าไรๆ แต่กรรมเท่านั้นเป็น "ตัวกำหนด" มีหลายครั้งแล้ว ที่กำหนดน่าจะอยู่ได้เท่านี้ๆ แต่ก็อยู่มาจนทุกวันนี้ ก็ยังไม่ตายผมเป็นกำลังใจให้ครับ
ความเจ็บปวด ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะของตน ซึ่งเมื่ออกุศลวิบากให้ผล ไม่สามารถหลีกหนีได้ ถ้าเราอาจหาญร่าเริง ยอมรับผลของกรรม และเริ่มพิจารณาลักษณะสภาพธรรม ก็จะได้สะสมปัญญาได้บ้าง อย่าให้เสียโอกาส ขอให้ กำลังใจ คุณTanya
สิ่งที่จะช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้ ก็มีแต่พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้
ขอเป็นกำลังใจให้ คุณ Tanya ค่ะ
สวัสดีครับ ผมพอจะช่วยอะไรได้ไหม ถ้าไม่เป็นการรบกวน เจตนาหวังดีจริงๆ ครับ ตั้งใจอยากจะให้ (แผ่น) ฟังธัมมะ หรือชีทธัมมะก็ได้ ไม่รู้คุณมีแผ่น ของท่าน อ.สุจินต์ บ้างหรือยัง อยากจะช่วยจริงๆ ถ้าไม่เป็นการรบกวนนะ กรุณาเมลล์มาที่ balamee10@hotmail.com เพื่อจะได้ทราบที่อยู่ ที่สามารถจะส่งไปให้คุณได้ ครับ ต้องขอย้ำอีกครั้งว่า มิได้มีจุดประสงค์อื่นจริงๆ (ไม่อยากให้เข้าใจผิด) ผมพร้อมจะส่งชีดี (ธัมมะ) ในพระไตรปิฎก และแผ่นให้คุณครับ คงช่วยได้เท่าที่จะช่วยได้นะ อยากให้คุณเข้าใจว่า ชีวิตนี้น้อยนัก คนที่ตายไปแล้ว ไม่ควรเศร้าโศก ส่วนคนที่อยู่ด้วยกัน ควรมีเมตตากัน ที่พึ่งอื่นไม่มี นอกจากกุศล และกุศลก็มีหลายระดับ แต่กุศลที่เข้าใจหนทางที่ถูก อันเป็นไปเพื่อที่เราจะต้องไม่มาเจ็บอย่างนี้ (เพราะไม่เกิด) อีกมี ขอให้คุณเมลล์มานะ จะส่งธัมมะไปให้ครับ ผมรู้ว่าไม่มีใครบังคับให้ใครเกิดกุศลได้ เพราะสภาพธัมมะ เกิดจากเหตุปัจจัย แม้กุศลก็เกิดจากเหตุปัจจัย นั่นคือการฟังพระธรรมครับ ลองอ่านดูนะ
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ... อัยยิกาสูตร
คุณtanyaครับ คุณพ่อของผม ตรวจพบเนื้องอกที่กล่องเสียง ระยะ ๒ เมื่อปี ๓๔ ทำการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน และทานอาหารแมคโครไบโอติกส์ (ผมเป็นคนศึกษา และแนะนำให้คุณแม่ทำ) คุณพ่อท่านไม่ปฎิเสธการเปลี่ยนอาหารเลย ท่านอยู่มาได้ถึงปี ๔๖ (ไม่ปรากฏอาการของโรคแล้ว) แต่เสียชีวิตอย่างสงบ ด้วยอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจไม่ทำงาน ผมเองได้เห็นความตายโดยใกล้ชิดมาแต่เด็กๆ ไปชันสูตรศพเป็นเพื่อนคุณพ่อ และอีกสารพัดความตาย ที่พบเห็นต่อหน้า มาคิดตอนนี้นับเป็นบุญของผมที่ได้เห็น บวกกับการได้มาฟัง พระธรรมจากท่านอาจารย์ ทำให้ได้มีความเข้าใจในชีวิต เพิ่มขึ้นมาก กลัวตายน้อยลงมาก ถึงมากที่สุด รู้สึกปลาบปลื้มทุกครั้ง ที่ฟังท่านบรรยายธรรม วันเกิดท่านอาจารย์ ก็มาที่มูลนิธิ ฯ แต่ไม่ได้เข้าไปกราบท่าน ไม่สบโอกาส (คงทำกุศลมาแบบไกลๆ ทั้งๆ ที่ตั้งใจเลยนะครับ) ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็บอกได้ว่ามีแต่ความอิ่มใจ และอุ่นใจที่มีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีท่านกัลญาณมิตร ในบ้านหลังนี้เป็นเพื่อน ผมเองเข้าบ้านธัมมะมา ก็พบกับ คุณtanya โดยความมีไมตรีของท่าน ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น มาจนทุกวันนี้ แม้ไม่เคยเห็นหน้ากันเลย ขอแสดงความปรารถนาดีด้วยจริงใจ ขอท่านมีพระธรรมเท่านั้น เป็นที่พึ่งที่ระลึกโดยทุกเมื่อ ขอให้กำลังใจท่านครับ
เรียนเจ้าของกระทู้
ทำงานอยู่รพ.เป็นพยาบาล ได้พบคนไข้มากมาย (คงเช่นเดียวกับเจ้าของความเห็นที่ 4) บางคนจะตอบสนองต่อความอดทนการเจ็บป่วยแตกต่างกัน จากการฟังผู้ป่วยเล่าเรื่องวิธีการลดความเจ็บป่วย บางคนก็หันไปใช้ธรรมะ ฟังธรรม บางคนก็ทำใจให้ยอมรับต่อการเจ็บป่วยนั้น ไม่ควรกังวลต่อเรื่องตายมาก ให้คิดว่าทุกคนมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งวิธีที่แต่ละคนใช้ก็แตกต่างกัน ดังนั้นอยากให้กำลังใจ คุณTanya ต่อสู้ต่อไป
ขอเป็นกำลังใจให้ คุณtanya อีกแรงนะครับ และขออนุโมทนา ในการเจริญกุศลของสมาชิกทุกท่านครับ
สาธุๆ อนุโมทนาครับ
มีเรื่องอีกหลายเรื่อง ที่อยากจะเล่าให้ คุณtanya ฟัง เป็นประสบการณ์ ตรงที่มีอยู่จริง อยากให้คุณได้เห็นผู้ป่วย ที่อยู่ในโครงการพิเศษของรพ.ชุมชนเล็กๆ ที่ผม ทำงานอยู่ เรียกว่า โครงการนภา (NAPHA) เป็นโครงการที่ช่วยเหลือและให้กำลังใจกันทุกๆ ระยะ ถ้าคุณได้มารู้และเห็นว่า ทุกข์ของแต่ละคนนั้น แตกต่างกันมากมายการทนต่อสภาวะทุกข์ ไม่เท่ากัน บางคนอยู่มานาน เป็นสิบปี ยังแข็งแรง เพราะว่า เค้าเข้าใจสภาพธรรมะ ไม่ยึดความเป็นตัวตน ไม่กลัวความตาย คนที่ไม่กลัวตายก็ไม่กลัวตายจริงๆ แถมยังทำประโยชน์เกื้อกูลสังคม แต่มีหลายคนที่ เอาแต่เศร้า ทุกข์เพราะห่วงลูก ห่วงสามี ก็เพราะไม่เข้าใจธรรมะ
วิธีที่ ๑ . อาศัยหลักการที่ว่า " จิตจะมีอารมณ์ได้เพียงหนึ่งเท่านั้น" ถ้าเราหางานให้จิตทำ คือ ให้จิตพิจารณาอยู่กับอารมณ์ ที่เป็นกุศล ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา หรืออย่างน้อย สวดมนต์ ในขณะที่จิต อยู่กับอารมณ์ที่เป็นกุศล ก็จะวางอารมณ์ที่เป็นทุกขเวทนาทางกายชั่วขณะ ก็คือ การเบี่ยงเบนความสนใจนั่นเอง ถ้าจิตจดจ่ออยู่ที่กาย หรือความเจ็บปวด ก็จะรู้สึกว่า ความเจ็บปวดมันเพิ่มทวีขึ้น
วิธีที่ ๒ "วิธีที่เพื่อนๆ คุณสอน ให้แยกความเจ็บปวดว่า ไม่ใช่ตัวเรา" พยายามเจริญกุศล เท่าที่จะทำได้ จะช่วยให้จิตใจสงบขึ้น และมีสมาธิมากขึ้น เพื่อที่จะเป็นกำลังให้สามารถระลึกหรือพิจรณาธรรมได้ง่ายขึ้น การที่จะแยกความเจ็บปวดได้นั้น ก็เพราะเราปล่อยวางกายได้ อันที่จริงความเจ็บปวด จะไม่หายไปไหน แต่เพราะเราไม่ใส่ใจกับมัน การจะปล่อยวางกายได้ ก็พิจารณากาย ตามหลัก กายคตาสติ ได้แก่ การพิจารณากาย โดยความเป็นของไม่งาม เป็นปฏิกูล เพราะมีของเสียออกมาทุกทวาร ทุกรูขุมขน และในที่สุด ก็แตกสลายกลายเป็นธาตุ เป็นขี้เถ้า ไม่เหลือความเป็นเรา เขา ชาย หรือหญิง ข้าวทุกเม็ด อาหารทุกคำ ทุกจาน ที่เรา บริโภคมาตลอดชีวิต ทรัพย์สมบัติ ที่เราแสวงหา สะสมมาตลอดชีวิต ร่างกาย ที่เฝ้าทนุถนอม บำรุงบำเรอ มาตลอดชีวิต ฯลฯ เมื่อถึงวันที่เราต้องตาย ทุกอย่างที่สะสมมาตลอดชีวิต ก็ต้องกองไว้บนแผ่นดิน ร่างกายเป็นเพียงแต่ที่อาศัยชั่วคราว เมื่อกายไม่ใช่เรา ความเจ็บปวดอันเนื่องมาจากกายก็ไม่ใช่เรา ดูอาการของมัน แต่ไม่เข้าไปยึดถือว่าเป็นเรา
การที่จะแยกความเจ็บปวดได้นั้น ก็เพราะเราปล่อยวางกายได้ อันที่จริงความเจ็บปวดจะไม่หายไปไหน แต่เพราะเราไม่ใส่ใจกับมัน การจะปล่อยวางกายได้ ก็พิจรณากาย ตามหลักกายคตาสติ ได้แก่ การพิจรณากาย โดยความเป็นของไม่งาม เป็นปฏิกูล เพราะมีของเสียออกมาทุกทวาร ทุกรูขุมขน และในที่สุด ก็แตกสลายกลายเป็นธาตุ เป็นขี้เถ้าไม่เหลือความเป็นเรา เขา ชาย หรือหญิง?
การรู้ความจริงว่า ทุกอย่างเป็นธัมมะ ไม่ใช่เรา เป็นการอบรม เจริญสติปัฏฐาน ความเจ็บปวดเป็นธัมมะ ไม่ใช่เรา ก่อนอื่นต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตาสติก็เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีใครจะบังคับให้ปล่อยวาง หรือไม่ปล่อยวาง ถ้าสติไม่เกิด การเจริญสติปัฏฐาน มิใช่เป็นตัวตน ที่จะไปพยายามหลีกเลี่ยง ไม่รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่เป็นสติที่เกิด รู้ว่า เป็นธัมมะอย่างหนึ่ง แม้ความเจ็บปวด ก็เป็นธัมมะ เพราะถ้าไม่รู้อย่างนี้ ก็จะยึดถือว่าเป็นเรา และกายคตาสติ มี ๒ นัย คือ สมถภาวนาและวิปัสสสนา ซึ่งกายคตาสติ ในวิปัสสนา ก็คือกายานุปัสสนา นั่นเองในสติปัฏฐานซึ่งเป็นการรู้ ในรูปธรรมว่า ไม่ใช่เรา แต่ถ้าคิดว่าเป็นปฏิกูล ก็ยังยึดถือว่า มี ผม ขน เล็บเป็นเรา ก็ไม่สามารถ ดับกิเลสได้ และก็เป็นเรา ที่คิดอีกซ้อนตัวตน ดังนั้น สมถภาวนา ไม่สามารถไถ่ถอนความยึดถือว่า เป็นเราครับ
ต้องมั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตา แม้สติก็เป็นอนัตตา จะบังคับให้เอาสติไปวางเฉย ไม่ได้เลย ทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัยครับ อนุโมทนา
ขอส่งกำลังใจและความปราถนาดี มายัง คุณTanya อย่ากังวล หรือคาดคิดสิ่งใดล่วงหน้าไปเลยครับ คุณTanya เองอาจทุเลาเป็นปกติ ก็เป็นได้ ไม่มีใครทำนายอะไรได้หรอกครับ ใครรู้ได้ กำลังใจ และความปรารถนาดีที่มีต่อ คุณTanya มีอยู่เสมอ ทั้งที่ส่งและไม่ได้ส่งข้อความถึง คุณTanya โดยตรง คุณพระรัตนตรัย จะทำให้จิตใจ คุณTanya มั่นคง และ เบิกบานยิ่งยิ่งขึ้น
ขอแนะนำ หาซีดี เรื่อง พระคิริมานทสูตร ฟังค่ะ
เป็นพระสูตรที่พระผู้มีพระภาค ตรัสแก่พระอานนท์ เพื่อให้ความกรุณาต่อ พระคิริมานซึ่งอาพาธหนัก เมื่อพระอานนท์เทศน์จบ ความเจ็บป่วยของพระคิริมานก็บรรเทาและพระคิริมานก็บรรลุความเป็นพระอรหันต์ ก่อนที่จะเข้านิพพาน ลองหาดูนะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้คุณ Tanya ค่ะ
เมื่อหลายปีก่อน พระอาจารย์ที่วัดเชียงดาว จะเดินทางจากวัดที่เชียงดาว เข้ามาเชียงใหม่ เพื่อสอนธรรมแก่พวกเราทุกวันอาทิตย์ เป็นเวลาหลายปี โดยที่ท่านจะนั่งรถแต่เช้า จากเชียงดาว เพื่อมาสนทนาธรรมกับพวกเราที่เชียงใหม่ ในเวลาบ่ายโมงถึงสามโมงเย็น แล้วก็นั่งรถกลับ เป็นประจำแบบนี้อยู่หลายปี ภายหลังท่านอาพาธหนัก ไม่สามารถมาได้ พวกเราก็ขับรถจากเชียงใหม่ ไปเชียงดาวทุกอาทิตย์เพื่อเยี่ยมท่าน และสนทนาธรรมกับท่าน อาการปวด เพราะมะเร็งที่ตับ จะสำแดงอาการให้พวกเราได้เห็นเสมอ แต่ท่านจะออกจากกุฏิ เพื่อมาสนทนาธรรมกับเรา ทุกครั้งที่พวกเราไป บางครั้ง ท่านเดินจากกุฏิมาที่สนทนาธรรม แทบไม่ไหวเพราะปวดมาก แต่ท่านก็มา หน้าท่านซีดเหงื่อท่านซึมเต็มหน้าผาก แต่ท่านก็แข็งใจสนทนาธรรม ตอนหนึ่ง ท่านกล่าวว่า ความปวดนี้เป็นอินทรีย์จริงๆ มันเป็นใหญ่มากจนไม่สามารถคิดอะไรได้เลย นอกจากปวดอย่างเดียว เรียนถามท่านว่า ท่านปวดมากแล้วสนทนาธรรมได้อย่างไร ท่านตอบว่า เวลาสนทนาธรรมแล้วคิดแต่เรื่องธรรม มันลืมปวด เรียนถามท่านว่า เวลาปวดมากๆ ท่านพิจารณาอย่างไร ท่านตอบว่ารู้ว่าปวดจนคิดอะไรไม่ได้ นอกจากปวด จะไปทำอะไรกับมันได้ ปวดคือปวด เห็นคือเห็น กังวลคือกังวล แต่ยังเป็นเรา
จากที่วัด ท่านได้มาที่โรงพยาบาล ท่านขอฟังเรื่องโสภณธรรม ไปเยี่ยมท่านจากพูดได้ จนพูดไม่ได้ ท่านก็ใช้วิธีเขียน เพื่อสื่อสาร ท่านเข้มแข็งจริงๆ จนนาทีสุดท้าย สิ่งหนึ่งที่ท่านแสดงให้เราเห็นคือ ความเข้มแข็งและความใฝ่ธรรม มิสนใจต่อความเจ็บปวด ต่อสู้กับมันด้วยความเข้มแข็ง เพราะมีสิ่งอื่นที่มีประโยชน์กว่า คือ การได้ฟังธรรม และสนทนาธรรม ขออนุโมทนาทุกท่าน
แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าเอง ก็ยังมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง เคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวอย่างนี้ และก็ยังอยู่ในใจของดิฉันตลอดมา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ คุณทันย่าเข้ามาในเว็บนี้ สมาชิกทุกคนคงให้กำลังใจคุณทันย่ากันเต็มเปี่ยม ด้วยธรรมะ คงไม่มีที่ไหน อบอุ่นเท่ากับที่นี่แล้วค่ะ (อย่างน้อยๆ ก็สำหรับตัวดิฉันเอง) ขอเป็นกำลังใจให้คุณทันย่า และขออนุโมทนาในจิตที่เป็นกุศล ของทุกท่านด้วยเช่นกัน
ลืมเล่าประสบการณ์ ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เกี่ยวกับ ความเจ็บปวดของตัวเอง ให้คุณทันย่าฟังค่ะ
เมื่อ ๒๕ ปี ที่แล้ว ตอนที่ดิฉันนอนฟักฟื้น หลังการผ่าตัดหน้าท้อง เพื่อคลอดลูกชายคนแรก ท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านมีเมตตาได้มาเยี่ยมดิฉันที่ห้อง ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่เจ็บมากๆ ได้กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ควรที่จะพิจารณาอย่างไร เมื่อมีความเจ็บปวดมากๆ เกิดขึ้น ท่านได้กรุณาตอบว่า ความเจ็บ ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง สติสามารถที่จะระลึกรู้ได้ เจ็บก็คือเจ็บไม่ได้หายไปไหน แต่เพราะเราคิดว่าเราเจ็บ และมีความยึดติดในความเจ็บนั้น ว่าเป็นเราเจ็บ แต่จริงๆ แล้วเจ็บก็อยู่ส่วนเจ็บ หากจิตไม่ติดข้องในเจ็บนั้น ก็ไม่มีปัญหา ซึ่งในตอนนั้น ใช่ว่าดิฉันจะมีสติเกิด แล้วมีปัญญา แต่เมื่อพิจารณาตามที่ท่านพูด ก็เป็นความจริงทุกประการ ก็เลยคิดขึ้นได้ และมีการผ่อนคลายลง และเมื่อความเจ็บเกิดขึ้นอีก ก็พิจารณาตามนั้น แต่ก็เป็นเพียงขั้นนึกคิด ไม่ใช่สติปัฏฐานอะไรนะคะ แต่ก็ช่วยดิฉันได้เยอะทีเดียว ความเจ็บปวดของดิฉัน อาจจะไม่เท่าของคุณทันย่า แต่ยังไงๆ เจ็บก็คือเจ็บ ลักษณะของเค้ามีเกิดขึ้น สามารถปรากฏแก่สติได้ ไม่มีใครรู้ว่า สติจะเกิดขึ้นเมื่อใด อันนี้แน่นอน แต่หากความเจ็บนั้น ไม่เกิดขึ้นปรากฏ ก็ไม่มีทางที่เราจะรู้ หรือพิจารณาได้ ขอเป็นกำลังใจให้ คุณทันย่า อีกครั้งหนึ่งค่ะ
ถือว่าคุณเป็นผู้ได้สั่งสมบุญบารมีมานะครับ มิฉะนั้น อดได้พบพระธรรมแน่นอน
อาจหาญ ร่าเริง นะครับ ขอเอาใจช่วย
"แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าเองก็ยังมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง"
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ และขอเป็นกำลังใจให้คุณธันญ่า อีกครั้งนะคะบุญของคุณแล้วค่ะ ที่ได้มีโอกาสฟังธรรม และศึกษาพระธรรม อย่าทิ้งโอกาสนี้ไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
เข้าใจความรู้สึกของคุณ ที่ต้องทุกข์ทรมานกับโรคร้าย ที่กำลังประสบอยู่ การที่จะมีชีวิตอยู่กับความทุกข์ให้ได้นั้น มันเป็นเรื่องที่ยาก สำหรับผู้ที่ไม่เคยศึกษา หลักธรรมะของพระพุทธเจ้า คงมีความเห็นเหมือนกับคนอื่นๆ คือ ต้องอ่านหนังสือธรรมะและการฟังธรรม ซึ่งจะเป็น ที่พึงที่ดีที่สุดสำหรับเรา เหมือนอย่างอจ.กำพล ทองบุญนุ่ม ที่ท่านต้องพิการตลอดชีวิต จากประสบอุบัติเหตุ แต่ท่านได้ธรรมะ มาเยียวยารักษาใจ จนปัจจุบันนี้ ท่านก็มีชีวิตที่มีความสุข เป็นผู้บรรยายธรรม และปฏิบัติธรรมดิฉันมีแผ่นซีดีของท่าน ถ้าต้องการ ดิฉันจะส่งไปให้ฟัง ถ้าสนใจติดต่อทางMail ตามชื่อ Sirikan@health3moph.go.th บอกที่อยู่มาได้ จะส่งไปให้ค่ะ ขอให้เข้มแข็งและอดทนนะคะ ความเจ็บป่วย ไม่มีใครหนีพ้น เพียงแต่ว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง เราจะทำอย่างไร ที่จะอยู่กับมันให้ได้ โดยที่เรามีความทุกข์น้อยที่สุด
ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานทางกาย ทำให้ใจเป็นทุกข์ไปด้วย แต่ขอเป็นกำลังใจอย่างเต็มที่ ให้กับ คุณTANYA ได้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง มีคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นเกราะ รักษาใจให้มั่นคงเข้มแข็ง ยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดค่ะ
สุดท้ายก็ลืมกันไป มีเมื่อคิดจริงๆ (คิดว่ามีแต่ไม่มี)
ทุกอย่างในชีวิตก็เป็นแบบนี้ มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี
จากข้อ ๗ ขอเรียนถาม
ผู้ป่วยเธอได้รับสื่อธรรม ตามความปรารถนาดีของท่านหรือยัง
ถ้าได้รับแล้ว หวังว่าเธอจะได้พบที่พึ่งที่แท้จริง
ขออนุโมทนา
เป็นกำลังใจให้ คุณธัญญ่าครับ นับว่า คุณเดินมาถูกทางแล้วครับ ศึกษาพระธรรม คำสั่งสอนของพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างถ่องแท้ ไม่เข้าใจจุดไหน ให้ถามท่านผู้รู้ และปฎิบัติตนให้ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม ชีวิตนี้มันไม่แน่นอนครับ ณ ตรงนี้ ผมให้กำลังใจคุณ ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คือ ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา แต่ใครจะไปรู้ว่า ผมอาจจะจากโลกนี้ไปก่อนคุณก็ได้ครับ ชีวิตนี้มันไม่แน่นอนครับ เราทุกคนต้องทำ ปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด บุญรักษาครับ.
ชีวิต อันกายกว้างวา หนาคืบนี้ มีแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้น เพียงชั่วขณะจิตเดียว (แม้จิตก็เป็นสภาพธรรม)
ขอเป็นกำลังใจให้ คุณtanya อีกแรงนะค่ะ
และขออนุโมทนาในการเจริญกุศลของสมาชิกทุกท่านค่ะ
ผมขอแนะดับลมหายใจไปเลยดีกว่าจะได้รู้แล้วรู้รอดไปอยู่ก็ทุกข์เปล่า
ขอป็นกำลังใจ ให้กับ คุณTanya ด้วยคนค่ะ ขอให้บุญกุศลที่คุณ Tanya ได้สะสมมา
ช่วยคุ้มครองคุณให้ปลอดภัย และมีจิตใจที่เข้มแข็งนะคะ
เรียน ค.ห.ที่ 40 ได้ฟังมาว่า การดับจิตตนเอง นั้นเป็นอกุศลและไม่หายไปไหน ยังคงสะสม หากยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉจก็จะต้องเกิดอีกและเพิ่มอกุศลไปด้วย จะแน่ใจได้อย่างไรว่า จะได้เกิดเป็นมนุษย์อีก? แต่ขณะนี้ ที่ยังไม่หมดลมหายใจ ยังสามารถ ศึกษาธรรมจากการฟังได้ใช่ไหมคะ?
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
คุณหมอไม่ได้แนะนำในเรื่องของการใช้ยามอร์ฟีนระงับปวดหรือคะ? คุณแม่สามี ของดิฉันได้ป่วยเป็นโรคร้าย และคุณหมอก็ได้ให้มอร์ฟีนระงับปวด และดิฉันเองเคย ได้อ่านหนังสือมาว่า มีการใช้กัญชาระงับความปวดด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องลองปรึกษาแพทย์ดูอีกทีค่ะ ที่ต่างประเทศเค้าอนุญาติค่ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านหรือว่าอยู่ที่โรงพยาบาลคะ? มีโอกาส อยากจะไปเยี่ยมให้กำลังใจไม่ทราบว่าจะสะดวกหรือไม่คะ? ขอเป็นกำลังใจให้ตลอดค่ะ ขอให้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองคุณทันย่า อ่าน และฟังพระธรรมให้มากๆ ไหว้พระก็ขอให้มีปัญญาเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยความปรารถนาดีจากใจใจริง