บุคคลที่ชื่อว่าแม่ และ มารดาทางธัมมะ
บิดา มารดา มีหลากหลายนัยดังต่อไปนี้
บิดา มารดา เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดบุตร
บิดา มารดา เพราะเป็นปัจจัยให้มีการเกิดขึ้นของบุตร
บิดา มารดา เพราะเป็นผู้เลี้ยงดูบุตร
ผู้ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องทางธรรม เป็นผู้ให้กำเนิดทางธรรม เพราะทุกท่านเกิดมาด้วยความไม่รู้ ดังนั้นผู้ที่ให้ความรู้ ความเข้าใจทางธรรม ย่อมเป็น บิดา หรือ มารดา ทางธรรม
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นผู้ที่มีเมตตา เป็นผู้ที่เกิดมาเพื่อที่จะได้ศึกษาพระธรรม และเผยแพร่พระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกแก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง พระธรรมละเอียด ลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจ แต่เพราะมีท่านอาจารย์ที่คอยพร่ำสอน คอยแสดง คอยเปิดเผยในสิ่งที่มีจริง อยู่ตลอดเวลา บุคคลผู้มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา ความเข้าใจ จึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น จากไม่รู้ ก็เป็นรู้ขึ้น ท่านอาจารย์จึงเป็นมารดาในทางธรรม เพราะทำให้เป็นผู้เกิดใหม่ในธรรม คือ ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งพระธรรมทั้งหมดก็ต้องมาจากการทรงตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ
บุคคลที่ตอบแทนไม่ได้ง่าย คือ บุคคลที่ทําให้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ ด้วยความเข้าใจถูกในพระธรรม
บุคคลที่ได้ชื่อว่า แม่ มารดา บิดา
วันแม่ 12 สิงหาคม ก็เป็นวันที่เป็นเครื่องเตือนให้ได้ระลึกถึงพระคุณแม่ แม้จะกล่าวกันว่า ทุกวันก็ระลึกถึงแม่ได้ แต่เป็นการยากของปุถุชน ที่มากไปด้วยความหลงลืม หากแต่ว่าเมื่อมีการกำหนดวันขึ้นมา คือ วันที่ 12 สิงหาคมของทุกๆ ปีเป็นวันแม่ ก็ทำให้สามารถนึกถึง คุณแม่ บุคคลที่แม้แต่พระพุทธเจ้า และพระอริยสาวกทั้งหลายเคารพนับถือ บูชา เพราะมีพระคุณหาประมาณไม่ได้
วันแม่ 12 สิงหาคม ย่อมเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงคุณของแม่ ซึ่งก็ขอกล่าวถึงพระคุณของแม่ มารดา บิดา ตามความเป็นจริง ให้เข้าใจ เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้ระลึกถึงคุณของแม่ได้มากขึ้น ซึ่งท่านเปรียบพระคุณของมารดาไว้หลายประการดังนี้ ครับ
มารดา ยังเปรียบได้หลายอย่าง คือ มารดาบิดา เปรียบเหมือนพรหมของบุตร เพราะท่านมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา กับบุตร มีคุณธรรมดังเช่นพรหม คือ พรหมวิหาร 4 มารดาท่านหวังดีอยากให้เรามีความสุขเสมอ นี่คือ ท่านมีเมตตากับบุตร ยามที่เราเสียใจทุกข์ใจป่วยไข้ หรือ ได้รับสิ่งร้ายๆ ในชีวิต ดั่งเช่น ตัวอย่างของพระมหาโมคคัลลานะ ในอดีตชาติ ท่านได้ภรรยาที่ไม่ดี ยุยงให้ฆ่ามารดาบิดาของท่านผู้ที่ตาบอด ท่านพระมหาโมคคัลลานะในอดีตชาติ จึงพามารดา บิดา ไปทางเปลี่ยวและทำทีเป็นโจรเอง และทำเสียงเหมือนโจร และทำร้ายบิดา มารดาของท่าน มารดาบิดาผู้ตาบอดทั้งสองแทนที่จะห่วงตนเองกลับบอกกับลูกว่า โจรมาเจ้าจงหนีไปไม่ต้องห่วงพ่อแม่ นี่แสดงถึงใครที่ห่วงใยเรามากที่สุด นั่นคือ มารดา ที่มีกรุณาสูงสุดที่มีต่อลูกครับ เมื่อเราได้ดี ใครที่ดีใจมากที่สุด ชื่นชมในการได้ดีของเรา มารดา ท่านมีมุทิตา ชื่นชมในความสำเร็จของลูกเป็นที่สุด เมื่อเรามีชีวิตที่เป็นสุข มีครอบครัวแล้ว ท่านก็วางเฉย อุเบกขาตามสมควร นี่แสดงถึง ท่านเป็นพรหมของบุตรอย่างแท้จริง ด้วยจิตใจที่ดีงามกับลูก ใครเล่าจะสามารถพรรณาจิตใจของผู้เป็นแม่ได้ดี นอกเสียจากพระพุทธเจ้าที่รู้พระคุณตามความเป็นจริงและทรงแสดงพระคุณอันหาประมาณไม่ได้ของผู้เป็นแม่ที่มีต่อบุตร
มารดาบิดาเปรียบเหมือนบุรพเทพของบุตร หรือ วิสุทธิเทพที่เปรียบดั่งเช่นพระอรหันต์ที่เรามักได้ยินว่า มารดาเป็นพระอรหันต์ในบ้าน ความหมาย คือ พระอรหันต์ท่านไม่ถือเอาผิดในความผิดของคนพาลที่กระทำกับท่านเลย มารดาและบิดาก็เช่นกัน ไม่ว่าลูกจะทำผิด ด่าว่า ทำร้ายอย่างไรก็ตาม ผู้ที่เป็นแม่ ไม่ได้โกรธเคือง หรือ มีจิตหวงร้าย แต่กลับห่วงใยผู้ที่เป็นลูก ท่านจึงเปรียบได้ดั่งเช่น พระอรหันต์ที่ไม่ใส่ใจโทษผิดของผู้ที่เป็นลูกเลยแม้แต่น้อย
มารดาบิดาเปรียบเหมือนบุรพาจารย์ของบุตร คือ อาจารย์ ครูคนแรกนั่นเองที่คอยสั่งสอนชี้นำ แนะให้ทำสิ่งต่างๆ ตั้งแต่แรกเกิดจนเดินได้ เป็นครูคนแรกของบุตร
มารดาบิดาเป็นอาหุไนยบุคคลของบุตร คือเป็นบุคคลที่ควรบูชา บูชาด้วยวัตถุต่างๆ เพราะท่านมีพระคุณมากนั่นเองครับมารดาบิดาจึงเป็นบุคคลผู้ที่ควรได้รับการเลี้ยงดู การเอาใจใส่ดูแล การให้ความสะดวกสบาย การให้ความอบอุ่นทั้งทางกายและทางใจ และการเคารพสักการะบูชาจากบุตร อยู่ตลอดเวลาครับ และที่สำคัญมารดาเป็นผู้ให้กำเนิด หากไม่มีมารดา เราคงไม่มีวันนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าท่านจะนิสัยอย่างไร จะเลี้ยงดูเราหรือไม่ แต่ พระคุณตามความเป็นจริง ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย คือ ท่านให้กำเนิดเรา เราได้เกิดมา ได้มีความสุข พบกับสิ่งต่างๆ ก็เพราะมารดาผู้ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น ท่านจึงมีพระคุณอย่างมากที่ทำให้มีโอกาสยืนอยู่บนโลกนี้
ซึ่งจะขอกล่าวถึงการตอบแทนพระคุณท่านตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
ดูก่อนบุตรคหบดี มารดาบิดา ผู้เป็นทิศเบื้องหน้า บุตรควรทะนุบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ
๑. ท่านได้เลี้ยงเรามาแล้ว เราจักเลี้ยงดูท่านเหล่านั้น
๒. เราจักทำกิจของท่าน
๓. เราจักดำรงวงศ์ตระกูลไว้
๔. เราจักปฏิบัติตนเป็นผู้รับมรดก
๕. เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปแล้ว เราจักเพิ่มทักษิณาทานให้
ท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ บิดามารดา มีพระคุณกับผู้เป็นบุตรหาประมาณมิได้ ท่านเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็กลำบากมากมาย ผู้เป็นบุตร จึงควรตอบแทนพระคุณท่าน เพราะความเป็นผู้รู้คุณ เริ่มจากเดี๋ยวนี้ คือ ดูแลท่าน ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหาร การช่วยเหลืองานบ้านต่างๆ แทนที่ท่านจะทำ ก็ช่วยแบ่งเบาภาระ ตามความสามารถของตนที่จะมีในเรื่องนั้นครับ
จักรับทำกิจของท่าน สิ่งใดที่เป็นงานของท่าน ทั้งในบ้านและนอกบ้าน คือการงานของท่าน หากเราพอมีความสามารถ แม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นผู้ยินดี อาสาที่จะช่วยท่านเพื่อแบ่งเบาภาระของผู้เป็น บิดา มารดา ที่มีภาระมาก และได้เลี้ยงดูเรามาครับ ไม่ใช่ว่าจะทำกิจของตน คือ เรียนหนังสือ หรือ ทำงานของตนเท่านั้น ครับ
จักดำรงวงศ์ตระกูล การดำรงวงศ์ตระกูลของบุตร คือ การประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีรักษาวงศ์ตระกูล เมื่อเป็นคนดี รู้จักสิ่งที่ควรหรือไม่ควร ย่อมรักษาทรัพย์สินเงินทองของบิดา มารดา ไม่ทำให้ทรัพย์สิน เงินทองของท่านให้พินาศ ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เพราะนั่นเป็นทรัพย์สมบัติของท่านที่หามาได้ด้วยแรงกายแรงใจของท่านครับ การไม่ตั้งใจเรียน เกเร ก็ย่อมชื่อว่าไม่รักษาวงศ์ตระกูล เมื่อรักษาทรัพย์ได้ รู้จักปฏิบัติตนให้เหมาะสมตั้งใจเรียน ไม่เกเร ก็ชื่อว่ารักษาวงศ์ตระกูลได้ ไม่ทำให้วงศ์ตระกูลเสียหาย ทั้งชื่อเสียงและทรัพย์สินครับ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัตตนไม่ดี ก็ทำลายวงศ์ตระกุล ทั้งชื่อเสียง คำว่าร้ายจากคนอื่นที่มีต่อ บิดา มารดาและวงศ์ตระกูลเรา การรักษาวงศ์ตระกูลที่ประเสริฐสูงสุด คือ ให้บิดา มารดา ออกจากวงศ์ คืออธรรม คือ ความไม่ดี ออกจากอกุศล มีความเห็นผิด ให้ตั้งอยู่ในวงศ์คือ วงศ์ของธรรม วงศ์ของความดี ที่ถูกด้วยการให้ความเข้าใจพระธรรม ชื่อว่า เป็นบุตรที่ดำรงวงศ์ตระกูลไว้ได้อย่างสูงสุดครับ
จักปฏิบัติตน ให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก บุตรที่ทำตัวไม่ดี หรือ ไม่กตัญญูบิดามารดา ก็ไม่ชื่อว่าสมควรรับมรดาจาก บิดามารดา แต่การทำตนเป็นคนดี ตั้งใจเรียน ไม่เกเร รู้จักใช้จ่าย เป็นต้น ชื่อว่าเป็นผู้สมควรรับมรดกจากมารดา บิดา ครับ
เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ผู้เป็นบุตรที่ดี คือ ต้องมีความกตัญญู รู้คุณของท่าน ไม่ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว เพราะเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ก็คือ การทำบุญและอุทิศส่วนกุศลไปให้เพราะสัตว์ที่จากโลกนี้ไปแล้ว หากอยู่ในฐานะที่เป็นเปรต อาหารของสัตว์เหล่านั้น คือ การอุทิศส่วนกุศลของเหล่าญาติ ครับ
อย่าลืมให้ของขวัญท่าน ในทุกๆ ทางตามโอกาส เพียงทำให้ท่านแช่มชื่นและรู้ว่าเรายังนึกถึงพระคุณท่าน นั่นก็เป็นสิ่งที่ดี และดีที่สุด คือ ความดีที่สมบูรณ์แบบ คือความดีที่เข้าใจพระธรรม มอบของขวัญให้กับแม่ และสิ่งที่ดีก็จะเกิดกับท่านเอง ไม่ใช่อะไร นั่นคือกุศลจิตที่เกิดในจิตใจ ที่มีความกตัญญู
ธรรมวันแม่ ... มารดาและบิดาของแต่ละท่านที่แท้จริง ท่านอาจารย์สุจินต์ ... แสดงให้เห็นว่า นอกจากอวิชชา ก็ยังมีตัณหา เพราะว่ามีความพอใจในสิ่งที่ปรากฏ และมีอุปาทาน การยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ดับ ที่เที่ยง ที่กำลังพอใจอยู่ ด้วยเหตุนี้ธรรม ๔ ประการ คือ อวิชชา ตัณหา และอุปาทาน เปรียบเสมือนมารดา คือ เพิ่มขึ้นมาอีกจากที่ว่า อวิชชา ก็รวมทั้งตัณหาและอุปาทานด้วย และเปรียบเหมือนบิดา เพราะว่าเป็นเหตุให้กระทำเหตุให้เกิดนามรูป ถ้ามีเข้าใจอย่างนี้ ก็จะเข้าใจข้อความนั้นได้ และจะจำได้ด้วย เพราะว่ากำลังเป็นความจริงในขณะนี้ว่า มีทั้งมารดาและบิดา มารดาก็คืออวิชชา มีแน่นอน และตัณหา และอุปาทาน เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีเจตนาซึ่งเกิดในขณะที่เป็นกุศลหรืออกุศล ซึ่งเปรียบเสมือนบิดา
กราบแทบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่งเหนือเกล้า
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
ดั่งมารดา ทางธรรม
น้อมกายลง วันทา อภิวาท
ศิโรราบ แทบบาท เหนือเกศี
สัจธรรม คำจริง ในวจี
ธรรมะนี้ มีจริง จริงทุกคำ
.
กราบแทบเท้า อาจารย์ เคารพยิ่ง
ในคำจริง เดี๋ยวนี้ มีค่าล้ำ
ดั่งมารดา แสงสว่าง ในทางธรรม
ทุกถ้อยคำ นำความจริง สิ่งทั้งปวง
.
เกิดมาแล้ว ไม่มีเรา ที่จะเกิด
ความประเสริฐ เกิดเข้าใจ ยิ่งใหญ่หลวง
สรรพสิ่ง ยิ่งเข้าใจ ในความลวง
ธรรมทั้งปวง เป็นธรรม อนัตตา
กราบด้วยจิต นอบน้อม ถึงที่สุด
บริสุทธิ์ ด้วยกุศล ผลบุญหนา
มีชีวิต ตามพระบาท ศาสดา
เพราะมารดา ทางธรรม นำความจริง
นายจอมพงศ์ อุ่นเวสสกุล
ผู้ประพันธ์