กฐินและผ้าป่า พระภิกษุไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเงินทอง

 
sutta
วันที่  14 ก.ค. 2563
หมายเลข  32048
อ่าน  541

ตื่นเถิดชาวพุทธ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ในสิ่งที่ผิด เพื่อดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาและกลับมากระทำสิ่งที่ถูกตามพระธรรมวินัย และควรรู้ความจริงว่า ผ้าป่าตามพระพุทธศาสนาคืออะไร อย่าถูกหลอกด้วยคำว่าได้บุญ จนทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว แม้แต่การจัดงานผ้าป่าสร้างโบสถ์ศาลา โดยชาวบ้านหวังบุญ เอาเงินมาถวายพระ โดยมีผ้า สมมติว่าเป็นผ้าป่า ผ้าป่าไม่ใช่เรื่องของเงิน และมีการจัดงานทำบุญเดือนเกิด โดย นำผ้าพร้อมเงินที่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามไม่ให้พระภิกษุรับ แต่ วัดดังทางภาคกลาง ก็จัดงานนี้และพระรับเงินผ้าป่า โดยข้ออ้างสร้างอุโบสถ เป็นต้น ทั้งฆราวาสถวายเงินอ้างผ้าป่า ไม่ได้บุญ พระก็ต้องอาบัติ มีอบายภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ก็ช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา

ที่ถูกต้อง คือ พระภิกษุไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเงินทองโดยประการใดๆ แต่ คฤหัสถ์เป็นผู้จัดหาเงินสร้างวัดเอง และสร้างโบสถ์ ศาลา เป็นต้น แต่ไม่ใช่เอาเงินไปถวายพระภิกษุ

[เล่มที่ 3] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๔๐

พระบัญญัติ

๓๗. อนึ่ง ภิกษุใด รับ ก็ดี ให้รับ ก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือ ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.

เมื่อชาวพุทธไม่ศึกษาพระธรรม จึงถูกพระอลัชชีผู้ไม่ละอาย ก้าวล่วงพระวินัยโดยหลอกด้วยคำว่าบุญสร้างอุโบสถ สร้างสิ่งต่างๆ ในวัด โดยให้ทอดผ้าป่าด้วยเงินโดยใช้คำว่า งานทำบุญเดือนเกิดประจำเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ตัวพระเองก็รับเงิน ต้องอาบัตินิสัคคิยปาจิตตีย์ เมื่อไม่สละเงินท่ามกลางสงฆ์ ไม่พ้นอาบัติ ดังนั้น มรรคผล นิพพาน และ คุณธรรมขั้นสูง มี วิปัสสนา เป็นต้น ไม่เป็นอันหวังได้ คือ ไม่ได้คุณธรรมนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงการเป็นผู้สอนวิปัสสนา เป็นวิปัสสนาจารย์ ผู้สอบอารมณ์ เพราะ ไม่มีทางได้ เพราะอาบัติรับเงินผ้าป่านั้นเป็นเครื่องกั้น ดังนั้น การกระทำก็ผิด รับเงินต้องอาบัติ สอนธรรมผิด ตั้งสำนักปฏิบัติวิปัสสนาที่เป็นสิ่งที่ผิด จึงเป็นวิกฤติพระพุทธศาสนา และชาวพุทธจำนวนมากหลงไปกับสิ่งเหล่านี้ เพราะเชื่อฟังคำพระภิกษุ อยากได้บุญ แต่ไม่ฟังคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วว่าอย่างไรจึงถูกต้อง

ชาวพุทธควรรู้จักว่าผ้าป่าที่ถูกต้องคืออะไรตามพระพุทธศาสนา

คฤหัสถ์ไม่รู้จักหน้าที่พระ ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่เข้าใจว่า ผ้าป่า คืออะไร และ ไม่เข้าใจว่าภิกษุห้ามรับเงินและทอง พระพุทธเจ้าปรับอาบัติและติเตียนภิกษุรับเงินทอง แม้จะมาในรูปผ้าป่า ปักเงินมาถวายวัด คฤหัสถ์สำคัญว่าได้บุญ แต่ ทำลายพระภิกษุผู้รับเงินนั้น ส่วน พระภิกษุ ใช้คำว่าบุญ หลอกชาวบ้าน เรี่ยไรเงิน ด้วยคำว่าผ้าป่าสามัคคี สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างสำนักปฏิบัติธรรม สร้างห้องน้ำ สร้างโรงเรียน ไม่ใช่หน้าที่พระภิกษุ พระภิกษุเรี่ยไรเงิน รับเงินต้องอาบัติ เป็นภิกษุมิจฉาชีพ อลัชชี พระพุทธเจ้าติเตียน ทั้งคฤหัสถ์และภิกษุผู้ไม่รู้ ก็สามัคคีกันช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา เพราะเหตุจากความไม่รู้และไม่ศึกษาพระธรรม แม้คำว่า ผ้าป่า คือ อะไร ภิกษุไม่พึงรับและยินดีในเงินและทอง พระพุทธเจ้าตรัสคำนี้ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร สนใจแต่ คำว่า ได้บุญ แต่ ไม่ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจว่าสิ่งใดควร ไม่ควร

ผ้าป่า

ผ้าป่านั้น เป็นคำในภาษาไทย ซึ่งเมื่อเทียบเคียงสอบทานกับพระไตรปิฎกแล้ว หมายถึง ผ้าบังสุกุล ซึ่งแปลว่า "ผ้าเปื้อนฝุ่น" ซึ่งเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของ ที่พระภิกษุท่านแสวงหาด้วยการเก็บตามป่าช้าบ้าง ตามกองขยะบ้าง ตามสถานที่ที่บุคคลนำไปทิ้งแล้วบ้าง เป็นต้น เก็บรวบรวมมาทำเป็นผ้าจีวรสำหรับนุ่งห่ม ผ้าบังสุกุลจะไม่มีผู้ถวาย แต่เป็นการแสวงหาอย่างถูกต้องของพระภิกษุ นี้จึงเป็นลักษณะของผ้าป่า หรือ ผ้าบังสุกุล แต่ถ้าเป็นผ้าที่คฤหัสถ์ถวายโดยตรงต่อท่าน ผ้านั้นเป็นคฤหบดีจีวร ไม่ใช่ผ้าบังสุกุล (ซึ่งทั้งผ้าบังสุกุลและ ผ้าคฤหบดีจีวร ก็เป็นผ้าที่ควรแก่พระภิกษุ) การทอดผ้าป่า หรือ การถวายผ้าป่า ไม่มีในพระไตรปิฎก ถ้าจะพิจารณาตามความเป็นจริงในสังคมไทยแล้ว ผ้าป่า มีความคลาดเคลื่อนจากพระธรรมวินัย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ที่บอกว่าถวายผ้าป่า ก็ไม่ใช่ผ้าป่าในพระธรรมวินัย เพราะส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องของเงินทอง, เงินทอง ไม่ใช่ผ้าป่า ผ้าที่นำไปถวาย ก็ไม่ใช่ผ้าป่า เพราะผ้าป่าที่แท้จริง เป็นผ้าบังสุกุล คือผ้าเปื้อนฝุ่นที่พระภิกษุแสวงหามาเพื่อทำเป็นจีวรเท่านั้นเอง

กฐิน

เรื่องของกฐินเป็นเรื่องที่ละเอียด และพระภิกษุและคฤหัสถ์ควรปฏิบัติอย่างถูกต้องในเรื่องของกฐินด้วยการศึกษาพระธรรมทีวินัยเพื่อเป็นการดำรงรักษาพระศาสนาไว้

คำว่า กฐิน มี ๒ ความหมาย คือ กฐินเป็นชื่อไม้สะดึงสำหรับขึงผ้าให้ตึงเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการเย็บผ้า และ กฐินตามพระวินัย หมายถึง ผ้าซึ่งเป็นผ้าสำหรับครองของพระภิกษุ เป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในบรรดา ๓ ผืน

กฐิน เป็นการทำสังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ที่มาของกฐินนั้น คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูป ซึ่งมีความประสงค์จะมาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่วิหารพระเชตวัน ตอนนั้นจวนเข้าสู่ช่วงเข้าพรรษา ไม่สามารถเดินทางให้ทันวันเข้าพรรษาในพระนครสาวัตถี ก็เลยอยู่จำพรรษาตามพระวินัย ณ เมืองสาเกต เมื่อออกพรรษาแล้วท่านเหล่านั้นก็เดินทางต่อทันที ในช่วงนั้นฝนยังไม่หมดทำให้จีวรเปียกชุ่มด้วยน้ำ เกิดความลำบาก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภในเรื่องนี้ จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุที่อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้ว ทำการกรานกฐิน เพื่อเปลี่ยนผ้า ในช่วงจีวรกาล ระยะเวลา ในการถวายกฐินนั้น มีระยะเวลา ๑ เดือน คือ หลังออกพรรษาแล้ว ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒

จะเห็นว่า เรื่องกฐินเป็นเรื่องของผ้าเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเงินทองเลย เพราะเหตุว่า เงินทองเป็นสิ่งที่เป็นอกัปปิยะ คือ สิ่งไม่เหมาะสมกับเพศบรรพชิต


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 25 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ