[คำที่ ๘๙] อนฺธการ‏

 
Sudhipong.U
วันที่  9 พ.ค. 2556
หมายเลข  32209
อ่าน  683

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์  อนฺธการ    

คำว่า อนฺธการ เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง อ่านตามภาษาบาลีว่า อัน - ทะ - กา - ระ แปลว่า ความมืด (คนไทย  มักจะกล่าวว่า มืดมนอนธการ) มีความหมายได้ ๒ นัย คือ ความมืดที่เข้าใจกันทั่วๆ ไป ซึ่งไม่มีแสงสว่าง มืดสนิท ในอรรถกถาทั้งหลาย ได้แสดงไว้ว่า ความมืด  ประกอบด้วยองค์ ๔  คือ กลางคืนข้างแรม ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ, กลางป่าดงดิบที่รกทึบ,วันที่มีเมฆทึบ และ เวลาเที่ยงคืน และ อีกนัยหนึ่ง  กล่าวถึง ความมืด คือ อวิชชา ที่ปกคลุมทำให้ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งจะขออธิบายในนัยหลังนี้ ข้อความที่แสดงถึงความมืดคืออวิชชา [เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่า เมื่อสัตว์โลกถูกไฟ มี ราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น แผดเผาอยู่ ยังจะมัวประมาทอยู่ทำไม เมื่อถูกความมืด คือ อวิชชา ปกคลุมแล้ว ก็ควรที่จะได้แสวงหาแสงสว่าง คือ ปัญญา เพื่อกำจัดความมืดดังกล่าว นั้น] คือ ข้อความจาก พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ว่า

“เมื่อโลกสันนิวาส อันไฟลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์, พวกเธอยังจะร่าเริง บันเทิงอะไรกันหนอ? เธอ ทั้งหลาย ถูกความมืดปกคลุมแล้ว ทำไมจึงไม่แสวงหาประทีป (คือปัญญา) เล่า?”

-------------------------------------------

ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้  มีชีวิตที่แตกต่างกันออกไปตามการสะสม ตามกรรม มีสุขบ้าง มีทุกข์บ้าง สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง เป็นต้น ถึงแม้ว่าจะมีความสุข มีความสะดวกสบายด้วยทรัพย์สมบัติทั้งหลาย แล้วจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่ได้เข้าใจพระธรรม ไม่ได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าตามความเป็นจริงแล้วกำลังจากทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปทุกขณะๆ และทรัพย์สมบัติก็ไม่สามารถติดตามไปในโลกหน้าได้เลยแม้แต่น้อย บุคคลผู้ที่ไม่เข้าใจพระธรรม ไม่เข้าใจความจริง ย่อมเป็นผู้ถูกปกคลุมด้วยความมืดคือวิชชา(ความไม่รู้) หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อมีอวิชชามากอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเลย ก็ไม่มีแสงสว่างคือปัญญาที่จะค่อยๆ ทำลายความมืดดังกล่าวลงได้ เพราะเหตุว่า ปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องทำลายอวิชชา ปัญญาจึงเป็นแสงสว่างในโลก 

แสงสว่างที่พอจะเห็นได้  เข้าใจได้ คือ พระอาทิตย์  ให้ความสว่างในเวลากลางวัน พระจันทร์  ให้ความสว่างในเวลากลางคืน ไฟ จะก่อเมื่อใด (หรือ  เปิดเมื่อใด) ก็ให้แสงสว่างเมื่อนั้น ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม แต่แสงสว่างที่ยิ่งกว่าแสงสว่างใดๆ ในโลก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้สัจจธรรมตามความเป็นจริง ทรงดับกิเลสทั้งปวงได้หมดสิ้น ด้วยพระปัญญา เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก จึงทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริง เกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง  ทำให้สัตว์โลกสามามรถดับกิเลส ทำลายความมืดคืออวิชชา ด้วยแสงสว่างคือปัญญา ตามพระองค์ ด้วย       

เพราะฉะนั้น ควรอย่างยิ่งที่ทุกคนจะได้พิจารณาว่า เมื่อเกิดมาแล้ว ในที่สุดก็จะต้องตายอย่างแน่นอน แต่จะตายไปพร้อมกับความไม่รู้ หรือ  จะตายไปพร้อมกับได้สะสมความรู้ความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น? ถ้าไม่ได้สะสมปัญญา ไม่ได้เข้าใจพระธรรมเลย ก็น่าเสียดายมาก ที่จะต้องตายไปพร้อมกับความไม่รู้ และจะเป็นผู้ไม่รู้อีกต่อไป เต็มไปด้วยกิเลสมากมาย ยากที่จะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ส่วนผู้ที่ได้สะสมศรัทธาที่จะฟังพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย บุคคลประเภทนี้เป็นผู้ดำรงชีวิตอย่างมีค่า (ไม่ว่าชีวิตจะลำบาก หรือสะดวกสบายก็ตาม) ไม่เป็นเหตุให้เกิดความเสียดายหรือเสียใจในภายหลัง เพราะยังมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดสำหรับชีวิต แม้ปัญญาจะยังไม่มาก แต่ถ้าไม่ขาดการฟัง ไม่ขาดการศึกษา ไม่ขาดการพิจารณาไตร่ตรอง ปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นการค่อยๆ ทำลายความมืดคืออวิชชาได้ในที่สุด.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ