[คำที่ ๙๑] พุทฺธ
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “พุทฺธ”
คำว่า พุทฺธ เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง แปลว่า ผู้ตรัสรู้ พุทธะ มีหลายประเภท ได้แก่ สัพพัญญูพุทธะ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยไม่มีใครเป็นผู้สอน แล้วทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้รู้ตาม, ปัจเจกพุทธะ คือ พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ธรรมเฉพาะตน แต่สะสมบารมีไม่เพียงพอที่จะรู้ทุกสิ่งเหมือนพระสัพพัญญูพุทธเจ้า จึงไม่สามารถสั่งสอนสัตว์โลกให้รู้ตามได้ และอนุพุทธะ คือ ผู้ตรัสรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แก่ พระอริยสาวกทั้งหลาย สำหรับในครั้งนี้ ขอกล่าวถึงคำว่า พุทธะ โดยนัยที่มุ่งถึง พระพุทธเจ้า (พระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริงแล้วยังหมู่สัตว์ให้รู้ตามพระองค์ ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุด เสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก ก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง ตามข้อความจาก พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ว่า
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอก เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลผู้เอกเป็นไฉน? คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอกนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศที่สุด ประเสริฐที่สุด กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลา สี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นเวลาที่นานมาก เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลสัตว์โลกด้วยการทรงแสดงพระธรรมให้ได้เข้าใจความจริง พระมหากรุณาคุณของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก คือ ทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง จากที่สัตว์โลกเคยเป็นผู้มากไปด้วยกิเลสประการต่างๆ ก็สามารถที่ขัดเกลาละคลาย จนกระทั่งสามารถดับได้ตามลำดับขั้น ด้วยปัญญาอันเกิดจากการได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง
การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ก็ต้องด้วยปัญญาที่เข้าใจพระธรรม เท่านั้น แม้เมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็มีทางเดียวเช่นเดียวกัน คือ ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงสามารถรู้ได้ว่าบุคคลนี้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงแสดงสิ่งที่มีจริงที่ผู้อื่นไม่สามารถจะแสดงได้ ไม่สามารถตรึก นึก คิด ไตร่ตรองประมวลเองได้แม้แต่คนเดียว ไม่มีใครเลยที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากผู้ที่ได้อบรมเจริญบารมีมาอย่างสมบูรณ์ พร้อมที่จะตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใน ๒,๕๐๐ กว่าปีมานี้ ก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม และถอยย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ และในกาลข้างหน้าก็จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วย
เพราะฉะนั้น ชาวพุทธ ควรที่จะได้คิดพิจารณาไตร่ตรองว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น ทรงแสดงว่าอย่างไร ซึ่งพระธรรมนี้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเห็นประโยชน์ ก็จะไม่ทรงแสดง แต่เนื่องจากว่าทรงเห็นประโยชน์ว่ามีผู้ที่ได้อบรมเจริญบารมีมาแล้ว สามารถที่จะฟัง พิจารณาและอบรมเจริญปัญญา จึงทรงแสดง จะเห็นได้ว่าแต่ละบุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ หลายคนก็สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติมีความสุขในชีวิต บางคนอาจจะคิดว่าพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกในชีวิต เพราะได้รับความสำเร็จทุกอย่าง แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม ผู้นั้น ชื่อว่ายังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยังไม่เข้าใจพระธรรม ด้วย ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ต้องศึกษา ต้องฟัง ถึงแม้ว่าจะยาก ก็จะต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ดีกว่าปล่อยให้เป็นสิ่งที่ยากไปเรื่อยๆ โดยไม่ฟัง เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นประโยชน์ของปัญญา ซึ่งจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต เป็นที่พึ่งทั้งในโลกนี้ และในโลกหน้าด้วย ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง เพราะทรัพย์สินเงินทอง ไม่ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ แต่ปัญญา สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ และปัญญาจะเจริญขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลยทีเดียว.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ