[คำที่ ๑o๕] จุติ‏

 
Sudhipong.U
วันที่  29 ส.ค. 2556
หมายเลข  32225
อ่าน  868

ภาษาบาลี ๑ คำ  คติธรรมประจำสัปดาห์ จุติ

คำว่า จุติ  เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง อ่านตามภาษาบาลีว่า จุ - ติ แปลว่า เคลื่อน ซึ่งหมายถึง การเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้  ซึ่งก็คือ การตาย นั่นเอง ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม อาจจะเข้าใจผิดได้ว่า จุติ  คือ การเกิด ซึ่งที่จริงแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะจุติ คือ การเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ในพระไตรปิฎก จะมีข้อความแสดงไว้มากทีเดียวว่า คนนี้ จุติจากมนุษย์โลกแล้วไปเกิดเป็นเทวดา หรือ จุติจากเทวโลกแล้วไปเกิดในมนุษย์โลก เป็นต้น เป็นการแสดงถึงการตายในแต่ละชาติ ซึ่งตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ต้องมีจิตขณะต่อไป คือ ปฏิสนธิจิต เกิดสืบต่อในชาติต่อไปทันที ที่น่าพิจารณา คือ ตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร พระพุทธพจน์ที่เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีสำหรับผู้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์  คือ

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย  สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ กลับมาเกิดในมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย (เปรต) มีมากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในหมู่เทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มีมากกว่าโดยแท้” 

(จาก ... พระสุตตันตปิฎก  อังคุตตรนิกาย   เอกนิบาต)


บุคคลที่เคยผูกพันไว้ มีความเยื่อใยติดข้องมากมายในปัจจุบันชาตินี้ ในฐานะมารดาบ้าง บิดาบ้าง บุตรธิดาบ้าง ญาติสนิทมิตรสหายบ้าง แต่ว่าเมื่อถึงคราวจะต้องจากโลกนี้ไป เพียงชั่วพริบตาเดียว บุคคลนั้นก็เป็นบุคคลอื่น ในเมื่อบุคคลนั้นสิ้นชีวิตละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็เป็นบุคคลใหม่ทันที จะย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย ความสัมพันธ์  ความผูกพัน ความเยื่อใยต่างๆ เท่าที่เคยมี เพียงชั่วพริบตาเดียว ต่างคนก็ต่างเป็นบุคคลอื่นทั้งหมด ไม่มีการที่จะย้อนกลับมาผูกพันได้เหมือนเดิม เนื่องจากสิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนี้แล้ว นี้คือ ความเป็นจริงของธรรม ซึ่งใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

เป็นความจริงที่ว่า การเกิดดับสืบต่อของจุติจิตและปฏิสนธิจิตไม่มีระหว่างคั่นเลย ตายแล้วเกิดทันทีสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อจุติจิตซึ่งเป็นจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ดับไปแล้ว จิตที่เกิดสืบต่อ คือ ปฏิสนธิจิต เกิดทันทีในชาติต่อไป แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกุศลกรรมหรือกุศลกรรม ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ เกิดเป็นสัตว์นรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ตามสมควรแก่กรรม แสดงให้เห็นว่า ชีวิตของคนเรานั้น เป็นการเกิดดับสืบต่อกันของจิตแต่ละขณะๆ เรื่อยไป ตั้งแต่เกิดจนตายจากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง ที่กิเลสเกิดขึ้นมากมายนั้นก็เพราะได้สะสมมาแล้วในอดีต เมื่อปัญญายังไม่เจริญขึ้นถึงขั้นที่จะดับกิเลสได้ กิเลสก็จะเกิดขึ้นอีกต่อไปอย่างเช่นในชาตินี้ ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลย

พระธรรมที่ได้ฟังได้ศึกษา เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง และเพื่อความไม่ประมาทในชีวิต อย่างแท้จริง เพราะเหตุว่า ในที่สุดแล้วทุกคนก็จะต้องมีขณะจิตสุดท้ายในชาตินี้ คือ จุติจิต ซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ว่าจะเกิดเมื่อใด ก็ควรที่จะได้ประโยชน์จากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด ประโยชน์ที่ว่านั้น ได้แก่  ความดี และความเข้าใจพระธรรม อันเกิดจากการฟัง การศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะต้องสะสมบ่อยๆ เนืองๆ เพราะเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ค่า อยู่ที่คุณความดี และความเข้าใจพระธรรม.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ