[คำที่ ๑๙๙] สมฺมาสมฺพุทฺธ

 
Sudhipong.U
วันที่  18 มิ.ย. 2558
หมายเลข  32319
อ่าน  831

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สมฺมาสมฺพุทฺธ ”

คำว่า สมฺมาสมฺพุทฺธ เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า สำ - มา - สำ - พุด - ดะ] มาจากคำว่า สมฺมา (โดยชอบ) กับคำว่า  สมฺพุทฺธ (ทรงตรัสรู้เอง, ทรงตรัสรู้ด้วยดี) รวมกันเป็น สมฺมาสมฺพุทฺธ แปลว่า ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ หรือ ทรงตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง เป็นพระนามของบุคคลผู้เลิศที่สุด ประเสริฐที่สุด เจริญที่สุดในโลกโดยไม่มีใครเสมอเหมือน คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามข้อความจาก พระสุตตันตปิฎก  ขุททกนิกาย  มหานิทเทส ว่า

“ชื่อว่า สัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและด้วยพระองค์เอง. จริงอย่างนั้น พระตถาคตนี้ ตรัสรู้โดยชอบและด้วยพระองค์เองซึ่งธรรมทั้งปวง คือ ซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง โดยความเป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง, ซึ่งธรรมที่ควรกำหนดรู้ โดยความเป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้, ซึ่งธรรมที่ควรละ โดยความเป็นธรรมที่ควรละ, ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง โดยความเป็นธรรมที่ควรทำให้แจ้ง และซึ่งธรรมที่ควรเจริญ โดยความเป็นธรรมที่ควรเจริญ”


พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลาที่นานมาก  พระคุณของพระองค์นั้นมีมากมาย พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง ด้วยการทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง เป็นผู้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลที่เสมอกับบุคคลที่ไม่มีใครเสมอ นั่นก็คือ ทรงเสมอกันกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ การจะอธิบายให้เห็นว่าพระคุณของพระองค์มีมากมายเพียงใดนั้น ท่านแสดงไว้ว่า ในระยะเวลาหนึ่งกัปป์ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าเพียงอย่างเดียว หนึ่งกัปป์ดังกล่าวนั้นสิ้นไปก่อนแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ ก็ยังกล่าวสรรเสริญไม่หมด

 พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ที่ปรากฏในบทที่กล่าวถวายความนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (นโม  ตัสสะ  ภควโต  อรหโต  สัมมาสัมพุทธัสสะ) นั้น มีความละเอียดลึกซึ้งมาก เริ่มจากคำว่า นะโม หมายถึง ความนอบน้อม พระผู้มีพระภาคเจ้า (ภวคโต) หมายถึง  ผู้ทรงหักราคะ โทสะ โมหะ และบาปธรรมทั้งหลาย ได้แล้ว เป็นผู้ถึงที่สุดแห่งภพ เป็นผู้คลายการไปในภพทั้งหลาย  ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์โลก ต่อไป คำว่า ผู้ทรงห่างไกลจากกิเลส (อรหโต) หมายถึง เป็นผู้ดับกิเลสได้หมดสิ้น, ทำลายข้าศึกคือกิเลสเสียได้, ทำลายซี่กำแห่งสังสารจักรได้,  เป็นผู้ควรได้รับทักษิณาทาน มีปัจจัย ๔ (อาหารบิณฑบาต เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย  ยารักษาโรค) เป็นต้น และเป็นผู้ไม่มีที่ลับในการทำบาป และคำว่า ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง (สัมมาสัมพุทธัสสะ) ทรงตรัสรู้สภาพธรรมด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีใครเป็นครูเป็นอาจารย์ ด้วยพระบารมีที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมา และเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงยังผู้อื่นให้ตรัสรู้ตาม ด้วย ส่วนคำว่า  ตัสสะ  หมายถึง พระองค์นั้น คือ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ผู้ทรงประกอบด้วยพระคุณเหมือนกันทั้งหมด กล่าวคือ ทรงทรงจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์โลก ทรงห่างไกลจากกิเลส ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง 

ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสมอกันหมดทุกๆ พระองค์ การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่ด้วยอย่างอื่น แต่จะรู้ได้ด้วยปัญญาที่เข้าใจพระธรรม เท่านั้น แม้เมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็มีทางเดียวเช่นเดียวกัน คือ ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงสามารถรู้ได้ว่าบุคคลนี้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงแสดงสิ่งที่มีจริงที่ผู้อื่นไม่สามารถจะแสดงได้ ไม่สามารถตรึก นึก  คิด ไตร่ตรองประมวลเองได้แม้แต่คนเดียว ไม่มีใครเลยที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากผู้ที่ได้อบรมเจริญบารมีมาอย่างสมบูรณ์ พร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใน ๒,๕๐๐ กว่าปีนี้  ก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม และถอยกลับไปก่อนหน้านั้น ก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และในกาลข้างหน้าก็จะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วย ถ้าไม่มีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัตว์โลกก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงได้เลย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน คือ ผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นชาวพุทธ ควรที่จะได้คิดไตร่ตรองพิจารณาว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น ทรงแสดงว่าอย่างไร พระธรรมนี้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเห็นประโยชน์ ก็จะไม่ทรงแสดง แต่เนื่องจากว่าทรงเห็นประโยชน์ว่ามีผู้ที่ได้อบรมเจริญบารมีมาแล้ว สามารถที่จะฟัง พิจารณาและอบรมเจริญปัญญา จึงทรงแสดง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง และคำที่พระองค์ตรัส นั้น ไม่มีแม้แต่คำเดียวที่ให้โทษ มีแต่เป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยส่วนเดียว

จะเห็นได้ว่าแต่ละบุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ หลายคนก็สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติมีความสุขในชีวิต บางคนอาจจะคิดว่าพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกในชีวิต เพราะได้รับความสำเร็จทุกอย่าง แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม ผู้นั้น ชื่อว่า ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยังไม่เข้าใจพระธรรม ด้วย ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ต้องศึกษา ต้องฟัง ถึงแม้ว่าจะยาก ก็จะต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ดีกว่าปล่อยให้เป็นสิ่งที่ยากไปเรื่อยๆ โดยไม่ฟัง เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นประโยชน์ของปัญญา ซึ่งจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต  เป็นที่พึ่งทั้งในโลกนี้ และ ในโลกหน้าด้วย ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง เพราะทรัพย์สินเงินทอง ไม่ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ แต่ปัญญา สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ และ ปัญญาจะเจริญขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย.    


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ