[คำที่ ๒๑๓] ปฏิปตฺติปูชา

 
Sudhipong.U
วันที่  24 ก.ย. 2558
หมายเลข  32333
อ่าน  1,288

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ ปฏิปตฺติปูชา

คำว่า ปฏิปตฺติปูชา เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า ปะ - ติ - ปัด - ติ - ปู - ชา] มาจากคำว่า ปฏิปตฺติ (การถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยสติและปัญญา) กับ คำว่า ปูชา (การบูชา,เคารพ,นอบน้อม) รวมกันเป็น ปฏิปตฺติปูชา  แปลว่า บูชาด้วยการปฏิบัติ หรือแปลทับศัพท์ เป็น ปฏิบัติบูชา เป็นการแสดงถึงความเป็นไปของธรรมฝ่ายดี คือ กุศลธรรมที่เป็นไปพร้อมกับปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เป็นการน้อมประพฤติตามพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นการบูชาอย่างสูงสุด ยิ่งกว่าการบูชาด้วยอามิส(วัตถุสิ่งของ) เพราะเหตุว่า การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง น้อมประพฤติตามพระธรรม มีความตั้งใจที่จะดับกิเลสจนหมดสิ้น เป็น ปฏิบัติบูชา ซึ่งเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสงค์ จึงได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่เพื่อที่จะรับดอกไม้ แต่เพื่อที่จะให้สัตว์โลกได้หมดกิเลสด้วยการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม

ข้อความจาก สุมังคลวิลาสินี อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร แสดงถึงความสำคัญของปฏิบัติบูชาไว้ว่า

“จริงอยู่ ชื่อว่าอามิสบูชา (การบูชาด้วยวัตถุสิ่งของ) นั้น ไม่สามารถจะดำรงพระศาสนาแม้ในวันหนึ่งบ้าง แม้ชั่วดื่มข้าวยาคู (ข้าวต้ม) ครั้งหนึ่งบ้าง. จริงอยู่ วิหารพันแห่ง เช่นมหาวิหาร เจดีย์พันเจดีย์ เช่นมหาเจดีย์ ก็ดำรงพระศาสนาไว้ไม่ได้, บุญ ผู้ใดทำไว้  ก็เป็นของผู้นั้นผู้เดียว. ส่วนสัมมาปฏิบัติ ชื่อว่าเป็นบูชาที่สมควรแก่พระตถาคต, เป็นความจริง ปฏิบัติบูชา นั้น ชื่อว่าดำรงอยู่แล้ว สามารถดำรงพระศาสนาไว้ได้ด้วย”


พระบารมี คุณความดีทั้งหมดที่พระมหาสัตว์ (พระโพธิสัตว์ ที่จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ได้ทรงสะสมอบรมมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ ก็เพื่อที่จะได้ทรงตรัสรู้ความจริง และไม่ใช่เพียงการตรัสรู้เฉพาะพระองค์เพียงพระองค์เดียว แต่เพื่ออุปการะเกื้อกูลให้สัตว์โลกได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก พ้นจากทุกข์ พ้นจากกิเลส ตามพระองค์ ด้วยการทรงประกาศความจริง แสดงพระธรรมหลังจากที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว โดยละเอียด โดยประการทั้งปวง เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม ตามความเป็นจริง เพราะสัตว์โลก มากไปด้วยความไม่รู้ ถ้าหากว่าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริง สัตว์โลกก็จะไม่สามารถพ้นจากห้วงมหาสมุทรของความไม่รู้ได้เลย มีแต่จะจมอยู่ในห้วงมหาสมุทรของความไม่รู้ และกิเลสทั้งหลายไปอีกนานแสนนาน ไม่มีที่สิ้นสุด

บุคคลผู้ที่เห็นคุณของพระธรรมเท่านั้นที่จะได้สาระจากพระธรรม เพราะมีการฟัง มีการศึกษา ด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง แม้แต่คำว่า ปฏิบัติ เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาว่า แม้ว่าจะมีคำว่า ปฏิบัติธรรม ปรากฏในคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม แต่เป็นการปฏิบัติผิด เป็นการทำด้วยความอยาก ความต้องการ ความหลง ความไมรู้ ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา ในขณะที่ปฏิบัติผิดนั้น ก็เพิ่มพูนโลภะ ความติดข้องต้องการ และ ความเห็นผิด ให้มากขึ้น เพราะแท้ที่จริงแล้ว การปฏิบัติธรรม เป็นการอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรมที่ปรากฏ คือรู้นามธรรม และรูปธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเริ่มต้นด้วยการฟัง การศึกษาให้เข้าใจในสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมโดยประเภทต่างๆ ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เช่น เห็น เป็นธรรม สี เป็นธรรม ได้ยิน เป็นธรรม  เสียง เป็นธรรม  ความโกรธ เป็นธรรม  ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นธรรม เป็นต้น เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้สติและปัญญาเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ตามความเป็นจริง    โดยที่ไม่เลือกสถานที่ กาลเวลา และไม่มีการเจาะจงที่จะรู้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และ ขณะนั้นเป็นการน้อมบูชาพระรัตนตรัย บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสูงสุด เพราะเป็นการน้อมประพฤติปฏิบัติเป็นไปตามคำสอนที่พระองค์ทรงแสดง อันเป็นพุทธประสงค์ที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา ก็เพื่ออุปการะเกื้อกูลให้สัตว์โลก ให้พ้นจากความเห็นผิด ความไม่รู้ และกิเลสทั้งหลาย ซึ่งในขณะนั้นธรรมฝ่ายดี มีสติ ปัญญา เป็นต้น เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่มีตัวตนที่ปฏิบัติ

จะเห็นได้ว่า  ขณะนี้มีธรรม มีสิ่งที่มีจริง ๆ เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด  ไม่ว่างเว้นจากธรรมเลยแม้แต่ขณะเดียว ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังเลย จะไม่สามารถเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริง ๆ ในขณะนี้ได้ ในเมื่อเป็นธรรม  แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม  ก็ย่อมไม่สมควรแก่การที่จะรู้ชัด รู้จริง รู้แจ้งในสภาพธรรม ได้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้มีความละเอียดอย่างยิ่งในการฟัง ในการศึกษา ไม่ประมาทในพระธรรมแต่ละคำ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ในสิ่งที่กำลังฟัง ซึ่งเป็นเหตุสำคัญที่จะนำไปสู่ความเจริญขึ้นของปัญญายิ่งๆ ขึ้นไป

เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ยุคสมัยนี้ ยังเป็นยุคที่พระธรรมยังดำรงอยู่ บุคคลผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร เผยแพร่พระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ยังมีอยู่ จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่สะสมบุญมาแต่ปางก่อน เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง จะได้สะสมปัญญาจากการได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้ง สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป  จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาได้ในที่สุด เพราะการที่ปัญญาจะมีมาก จนเป็นเหตุให้สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นการปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นการบูชาอย่างสูงสุดได้นั้น ก็จะต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปทีละเล็กทีละน้อย.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ