[คำที่ ๒๔๙] อลชฺชี
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อลชฺชี”
คำว่า อลชฺชี เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า อะ - ลัด - ชี] มาจากคำว่า น (ไม่มี) แปลง น เป็น อ กับคำว่า ลชฺชี (ผู้มีความละอาย) รวมกันเป็น อลชฺชี แปลว่า ผู้ไม่มีความละอาย เขียนเป็นไทยได้ว่า อลัชชี โดยส่วนมากจะแสดงถึงเพศบรรพชิต ที่ไม่มีความเคารพในพระรัตนตรัย ไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่ได้น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย ล่วงละเมิดสิกขาบทซึ่งเป็นพระวินัยบัญญัติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เห็นการล่วงละเมิดสิกขาบท ว่า ไม่มีโทษ ไม่เป็นอันตราย จึงเที่ยวย่ำยีสิกขาบทต่างๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ไม่เห็นโทษโดยความเป็นโทษ ข้อความจาก พระวินัยปิฎก ปริวาร แสดงความหมายของคำว่า อลชฺชี (อลัชชี) ไว้ว่า
“ผู้ที่แกล้งต้องอาบัติ (มีเจตนาล่วงละเมิดพระวินัยบัญญัติ) ปกปิดอาบัติ และถึงอคติ (ความลำเอียง) คนเช่นนี้ เราเรียกว่า อลัชชีบุคคล”
พระธรรมวินัย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อการกำจัดกิเลส ที่แต่ละบุคคลได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ แต่ถ้าไม่ได้ศึกษา ไม่ได้มีความเข้าใจถูกต้องตรงตามพระธรรมวินัยแล้วโอกาสที่จะกระทำผิด ก็ย่อมจะมีได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นบรรพชิต ซึ่งอยู่ในเพศที่สูงยิ่ง ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจ ไม่ได้น้อมประพฤติตามพระวินัย ก็ย่อมล่วงละเมิดสิกขาบทต่างๆ มีโทษโดยส่วนเดียว เป็นการกระทำในสิ่งที่ผิด เพราะกำลังของกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัวต่อบาป นั่นเอง ก็เรียกบุคคลผู้มีอกุศลธรรมอย่างนั้น ว่า เป็นอลัชชีบุคคล เป็นบุคคลผู้ไม่มีความละอาย
จะเห็นได้ว่าบุคคลผู้ที่มีอัธยาศัยในการบวชเป็นบรรพชิต เป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัย ย่อมสามารถที่จะละอาคารบ้านเรือน วงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติ แล้วบวช ซึ่งเมื่อบวชแล้ว ก็มีการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย ขัดเกลากิเลสของตนเอง อย่างนี้ คือ ผู้ที่มีอัธยาศัยน้อมไปในการบวชจริงๆ และ เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน แต่ถ้ายังมีพฤติกรรมเหมือนคฤหัสถ์ทุกประการ อย่างเช่น แสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ต้องการลาภ สักการะ ชื่อเสียง เดินตามห้างสรรพสินค้า ดูฟุตบอล ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ประกอบธุรกิจการงานต่างๆ เป็นต้น นั่นไม่ใช่วิสัยของผู้ที่มีอัธยาศัยที่จะเป็นบรรพชิตที่แท้จริง และการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นความประพฤติที่ไม่สมควรแก่บรรพชิตเลยแม้แต่น้อย เป็นโทษแก่ตนเองอย่างเดียว เป็นบุคคลผู้ไม่มีความละอาย เที่ยวย่ำยีสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เพราะจุดประสงค์ของการบวชเป็นบรรพชิต ในพระพุทธศาสนา คือ เพื่อฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสของตนเอง เท่านั้น ถ้าไม่ได้บวชเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวนี้แล้ว ย่อมเป็นบุคคลผู้เสื่อมอย่างยิ่ง เสื่อมจากคุณความดีประการต่างๆ เป็นการเพิ่มโทษให้แก่ตนเองเท่านั้น และถ้าล่วงละเมิดสิกขาบท แล้วไม่เห็นโทษ ไม่กระทำให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย เป็นผู้มีอาบัติติดตัว ถ้าหากมรณภาพ (ตาย) ก็เป็นผู้มีอบายภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้า โดยไม่มีเว้น ไม่ว่าจะบวชนานหรือไม่นาน ก็ตาม เพราะเป็นผู้มีอาบัติเป็นเครื่องกั้นการเกิดในสุคติภูมิ นั่นหมายความว่า ชาติหน้า เกิดในอบายภูมิ เท่านั้นสำหรับพระภิกษุที่มีอาบัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง คฤหัสถ์ที่เข้าใจพระวินัย ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะไม่ส่งเสริมหรือกระทำในสิ่งที่จะทำให้พระภิกษุไปเกิดในอบายภูมิ เช่น ไม่ถวายเงินแก่พระภิกษุ เพราะเงิน ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะควรแก่พระภิกษุ เป็นต้น
ในยุคนี้ สมัยนี้ มักจะมีบุคคลกล่าวว่า พระวินัยบัญญัติต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แล้วความจริงเป็นอย่างไร สำหรับพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ นั้น ไม่ได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา เพราะเป็นสัจจะความจริง เมื่อเป็นความจริง ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ก็เป็นความจริง พระภิกษุทุกรูปทุกยุคทุกสมัยต้องประพฤติตามพระธรรมวินัย พระภิกษุรูปใดที่ล่วงละเมิดสิกขาบท ก็มีโทษตามพระวินัย ไม่มีการยกเว้น และประเด็นที่น่าพิจารณา คือ พระวินัยเป็นไปเพื่อขัดเกลา ความประพฤติที่ไม่ดีทั้งหลาย เป็นการนำออกซึ่งสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ถ้าได้น้อมประพฤติตามด้วยความจริงใจ เว้นจากสิ่งที่ผิด แล้วน้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้อง ย่อมจะไม่เดือดร้อน ไม่มีความวุ่นวายใดๆ เลย และจะอยู่ได้อย่างเบาสบายด้วยเพศที่ขัดเกลาจริงๆ ไม่ได้อยู่เพื่อลาภสักการะ ทรัพย์สินเงิน ทอง แต่เพื่อขัดเกลาละคลายกิเลสของตนเอง ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตก็มีเพียงบริขารต่างๆ ที่เหมาะควรเพศบรรพชิต และ ปัจจัย ๔ คือ จีวรเครื่องนุ่งห่ม อาหารบิณฑบาต ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค เท่านั้น เพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อการที่จะให้ชีวิตของบรรพชิตเป็นไปได้ เพื่อฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาน้อมประพฤติตามพระธรรม
พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายในอดีต มีความเคารพในพระธรรมวินัย เมื่อมีบุคคลย่ำยีทำลายพระธรรมวินัย พระอริยสงฆ์สาวกเหล่านั้นก็ได้มีการประชุมกันทำสังคายนารวมรวมพระธรรมคำสอน ตั้งแต่การทำสังคายนาครั้งที่ ๑ เป็นต้นมา ก็เพื่อรักษาพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ดำรงอยู่และเป็นประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง ซึ่งท่านเหล่านั้นล้วนเป็นพระอริยบุคคล ยังไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัย เลย มีแต่ช่วยกันรักษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประโยชน์แก่ชนรุ่นหลังจริงๆ เพราะฉะนั้น การกล่าวว่า พระวินัยต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลานั้น เป็นการกล่าวผิดอย่างสิ้นเชิง เป็นการไม่เคารพในพระธรรมวินัย ขาดการศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ หรือ ไม่ได้ศึกษาเลย เป็นบุคคลผู้ไม่มีความละอายอย่างยิ่ง เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระธรรมวินัยทั้งหมด ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว มีความบริสุทธิ์บริบูรณ์ เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละกิเลสทั้งหลายทั้งปวง จึงควรอย่างยิ่งที่แต่ละคนจะได้ศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นทางเดียวที่จะช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูกของแต่ละคน ต่อไป.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ