[คำที่ ๒๕o] สนฺติก
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สนฺติก”
คำว่า สนฺติก เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า สัน - ติ - กะ] หมายถึง สำนัก,ที่อยู่ ไม่ว่าใครจะอยู่ ณ ที่ใด ที่ตรงนั้นก็เป็นสำนักของผู้นั้น คือ เป็นที่อยู่ของผู้นั้น ไม่ได้หมายถึงสถานที่ปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด เพราะความจริงแล้ว การที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ต้องเป็นชีวิตปกติ ไม่ใช่การไปทำอะไรที่ผิดปกติ ณ ที่หนึ่งที่ใด และที่สำคัญ สำนักปฏิบัติธรรม ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีแต่คำว่า สำนัก ซึ่งหมายถึง ที่อยู่ เท่านั้น ดังข้อความจาก ปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ภัททชิเถรคาถา ว่า
“ในครั้งนั้น พระศาสดาทรงจำพรรษาอยู่ในพระนครสาวัตถี เสด็จไปภัททิยนคร พร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เพื่อจะทรงสงเคราะห์ภัททชิกุมาร ทรงคอยความแก่กล้าแห่งญาณ (ปัญญา) ของภัททชิกุมาร จึงประทับอยู่ ณ ชาติยาวัน. แม้ภัททชิกุมาร นั่งอยู่บนปราสาทชั้นบน เปิดสีหบัญชร (หน้าต่าง) มองดู เห็นมหาชน เดินทางไปฟังธรรมในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงถามว่า มหาชนกลุ่มนี้ไปที่ไหน? ทราบเหตุนั้นแล้ว ไปสู่สำนักของพระศาสดา ด้วยบริวารเป็นอันมาก แม้เอง ฟังธรรมอยู่ ทั้งๆ ที่ประดับประดาไปด้วยอาภรณ์ (เครื่องประดับ) ทั้งปวง ยังกิเลสทั้งมวลให้สิ้นไป บรรลุพระอรหัตแล้ว”
คำว่า สำนัก เป็นคำที่แปลมาจากภาษาบาลีว่า "สนฺติก" โดยความหมายแล้ว คือ เป็นที่อยู่ อย่างเช่นเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ สถานที่แห่งใด สถานที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่นั้น เป็นสำนัก ซึ่งแปลว่า ที่อยู่ นั่นเอง
ในสมัยครั้งพุทธกาลไม่มีสำนักปฏิบัติธรรมของบรรพชิต หรือ ไม่มีสำนักปฏิบัติธรรมของคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่าผู้ที่ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมในยุคนั้น เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน (ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง) คือ ไม่มีการจำกัดหรือเลือกสถานที่ กาลเวลา และอารมณ์ คือ ทุกที่ทุกเวลา เป็นปกติ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีหลักฐานใดๆ แสดงว่า มีการสร้างหรือมีสำนักปฏิบัติธรรมของบรรพชิตหรือสร้างสำนักปฏิบัติธรรมของคฤหัสถ์ ในยุคนี้มีความเห็นผิดว่า ถ้าจะปฏิบัติธรรม ต้องอยู่ในห้องหรือไปสู่สำนักปฏิบัติ ไปสถานที่อื่นๆ ปฏิบัติไม่ได้ จึงมีการสร้างสำนักปฏิบัติเพื่อการปฏิบัติธรรม อย่างนี้ไม่ถูกต้องตามหลักพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ขัดแย้งกับความเป็นอนัตตาอย่างสิ้นเชิง จึงกล่าวได้ว่า สำนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้น เป็นสำนักที่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะกล่าวบิดเบือนคลาดเคลื่อนจากคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม แต่คนเหล่านั้น กลับแสดงสิ่งตรงกันข้าม คือ เป็นอัตตา เป็นตัวตนที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็คิดเอาเองว่า ถ้าไม่ไปทำอย่างหนึ่งอย่างใด ณ ที่หนึ่งที่ใด ก็ไม่ใช่ปฏิบัติธรรม แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ต้องมีการฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ จึงจะเป็นเหตุปัจจัยให้สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ทีละหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งเป็นปฏิปัตติ (ปฏิบัติ) ได้ คือ ถึงเฉพาะแต่ละลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม
จึงสำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าเห็นประโยชน์ของพระธรรม เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยใด อยู่ในฐานะใด ก็ย่อมจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทั้งนั้น เพราะธรรม มีจริงทุกขณะในชีวิตประจำวัน เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย สิ่งที่ขาด คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก, ความเข้าใจถูกเห็นถูก จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ในทางตรงกันข้าม ถ้าเริ่มต้นด้วยความไม่รู้ เริ่มต้นด้วยการไปทำอะไรด้วยความเห็นผิด ด้วยความจดจ้องต้องการ นั่นไม่ใช่หนทางที่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาเลย มีแต่จะผิดไปเรื่อยๆ จนยากที่จะแก้ไข
ดังนั้น ความเข้าใจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านั้น ที่จะเป็นประโยชน์ที่แท้จริงสำหรับชีวิต เพราะแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ทั้งนามธรรมและรูปธรรม การอบรมเจริญปัญญาจึงเป็นเรื่องของบุคคลที่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เป็นการดำเนินไปตามหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ หนทางที่จะรู้ความจริง ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ซึ่งจะทำให้ไม่ออกไปนอกทางที่จะไปทำอย่างอื่นที่คิดว่าหนทางนั้นจะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะธรรม เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นสิ่งที่ควรศึกษาให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ โดยไม่มีตัวตนที่ไปทำอะไรที่ผิดปกติ เลย
ปัญญาจะเจริญขึ้นตามลำดับจนถึงความสมบูรณ์พร้อมถึงความเป็นพระอริยบุคคลข้ามพ้นจากความเป็นปุถุชนได้ ก็ต้องมาจากการค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่การไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ตามสำนักต่างๆ ด้วยความต้องการ ด้วยความเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของธรรม บุคคลผู้เป็นสาวกในครั้งอดีต มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม ก็เพราะได้อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ฉันใด บุคคลผู้เป็นสาวกในยุคนี้สมัยนี้ จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เช่นเดียวกัน ซึ่งจะต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ และเคารพอย่างยิ่ง ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง เมื่อมีปัญญาเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว ก็จะไม่ไปสู่หนทางที่ผิด.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ