[คำที่ ๒๗๔] อวิชฺชามล
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อวิชฺชามล”
คำว่า อวิชฺชามล เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า อะ - วิด - ชา – มะ- ละ] มาจากคำว่า อวิชฺชา (ความไม่รู้) กับคำว่า มล (มลทิน,สิ่งสกปรก เศร้าหมอง) รวมกันเป็น อวิชฺชามล แปลว่า มลทิน คือ อวิชชา ความไม่รู้ แสดงถึงความจริงของอกุศลธรรมประการหนึ่ง ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เกิดกับอกุศลจิตทุกขณะ สะสมสืบต่อในจิต ตราบใดก็ตามที่ยังมีอวิชชาอยู่ ก็ยังเป็นเหตุให้ทำกรรมที่ดีบ้าง ไม่ดี บ้าง ทำให้ท่องเที่ยววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ต่อไป เป็นมลทินอย่างยิ่ง ผู้ที่จะดับมลทินประเภทนี้ได้หมดสิ้น คือ พระอรหันต์
ข้อความจาก พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท แสดงถึงมลทินคืออวิชชา มีว่า
“ความตระหนี่ เป็นมลทินของผู้ให้ทาน, อกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นมลทินของสัตว์ทั้งหลาย ในโลกนี้และโลกหน้า เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องยังสัตว์ให้พินาศ, แต่อวิชชา เป็นมลทินอย่างยอดยิ่งกว่ามลทินทั้งปวง”
เมื่อกล่าวถึงมลทินแล้ว ย่อมเป็นความไม่บริสุทธิ์ เป็นความเศร้าหมอง เป็นความมัวหมอง ไม่เว้นแม้แต่ความมัวหมองเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน คือ กิเลสทั้งหลายทั้งปวง เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ อวิชชา เป็นมลทินที่ยิ่งกว่ามลทินทั้งหลาย คนที่ยังมีกิเลสอยู่ จะกล่าวว่า ตนเองไม่มีมลทิน เป็นผู้ปราศจากมลทิน ไม่ได้ เพราะเหตุว่าบุคคลผู้ที่ไม่มีมลทิน เป็นผู้ที่ปราศจากมลทินโดยประการทั้งปวง คือ พระอรหันต์เท่านั้น
กิเลสทั้งหลายทั้งปวงย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส สำหรับผู้ที่ยังเป็นปุถุชน ในชีวิตประจำวันในภพนี้ชาตินี้ก็ยังไม่พ้นไปจากกิเลสใดๆ เลย เป็นผู้ถูกกิเลสกลุ้มรุมเกือบจะตลอดเวลา เพราะถ้าความดีไม่เกิด ก็เป็นโอกาสที่กิเลสจะเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ทำให้จิตเป็นอกุศล แปดเปื้อนจิต ทำให้จิตเศร้าหมอง ซึ่งไม่เพียงแต่ในชาตินี้เท่านั้นที่มีกิเลสมาก โดยมีอวิชชา ความไม่รู้ เป็นหัวหน้า เมื่อย้อนกลับไปในอดีตชาติอันยาวนานที่ผ่านมา ก็มีกิเลสมาก มีความไม่รู้มากเหมือนกัน สะสมสืบต่อจนมาถึงปัจจุบันชาตินี้ ทำให้ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ทันทีที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ก็ติดข้องพอใจ หรือ โกรธ ขัดเคือง ไม่พอใจแล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่ากิเลสที่สะสมมา มีมากเหลือเกิน หนักมาก กำลังจมอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ยังไม่มีเรี่ยวแรงที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ไปได้
อวิชชา เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ความจริง เมื่อว่าโดยสภาพธรรม ได้แก่ โมหเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดกับอกุศลจิตทุกประเภท
จะเห็นได้ว่า อกุศลจิตทุกขณะ ทุกประเภท เกิดเพราะโมหะ หรือ อวิชชา ซึ่งเป็นความหลง ความไม่รู้ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ไม่รู้ว่าอะไรเป็นผลที่มาจากเหตุ ไม่รู้โดยประการทั้งปวง ความเป็นจริงของอวิชชา ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น เกิดขึ้นเมื่อใด ย่อมไม่รู้ความจริง เมื่อนั้น, สาเหตุหลักที่แต่ละบุคคลยังท่องเที่ยววนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ก็เพราะยังมีอวิชชาอยู่นั่นเอง เป็นสภาพที่หุ้มห่อไว้ทำให้ไม่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริงก็มืดมน ไม่สามารถที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิต เพราะฉะนั้นแล้ว อวิชชา จึงเกิดกับขณะจิตมากมายอย่างนับไม่ถ้วน ซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไม่มีทางเข้าใจเลยว่า มากไปด้วยอวิชชา เป็นอย่างมาก
หนทางเดียวที่จะค่อยๆ ละคลายอวิชชาให้เบาบางลงได้ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมปัญญาซึ่งความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ไม่ละทิ้งโอกาสสำคัญในชีวิต นั่นก็คือ การฟังพระธรรม มีโอกาสฟัง ก็ฟัง มีโอกาสอ่าน ก็อ่าน มีโอกาสนทนา ก็สนทนา มีโอกาสสอบถามในเรื่องของธรรม ก็สอบถาม ทั้งหมดเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด เริ่มสะสมอบรมปัญญาได้ตั้งแต่ในขณะนี้ ค่อยๆ เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ