[คำที่ ๓๑๗] ญาณ

 
Sudhipong.U
วันที่  21 ก.ย. 2560
หมายเลข  32437
อ่าน  276

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ ญาณ

คำว่า ญาณ เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านออกเสียงตามภาษาบาลีว่า ยา - นะ] แปลว่า ความเข้าใจถูกเห็นถูก หรือ ปัญญา ว่าโดยสภาพธรรม ก็คือ เป็นเจตสิก (ธรรมที่เกิดประกอบกับจิต) ฝ่ายดี ประการหนึ่ง คือ ปัญญาเจตสิก นั่นเอง แม้ว่าจะมีหลายพยัญชนะที่กล่าวถึงความเป็นจริงของปัญญา ก็เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงของธรรม ว่า เป็นสภาพธรรมอย่างนี้ ไม่ใช่สภาพธรรมอย่างอื่น, ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นสภาพธรรมที่สำคัญมาก เป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลที่ดียิ่ง ทำให้กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น และทำให้อกุศลธรรม ค่อยๆ ถูกขัดเกลา จนกระทั่งสามารถดับได้จนหมดสิ้น

ข้อความจาก สัทธัมมปกาสินี อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค แสดงความเป็นจริงของ ญาณ ไว้ว่า

“ชื่อว่า ญาณ (ปัญญา,ความเข้าใจถูก, ความเห็นถูก) มีการแทงตลอดสภาวะ (สิ่งที่มีจริง) เป็นลักษณะ หรือ มีการแทงตลอดอย่างไม่ผิดพลาด เป็นลักษณะ เหมือนการยิงลูกศรอันนายขมังธนูผู้ชาญฉลาดยิงไปแล้ว ฉะนั้น มีการส่องซึ่งอารมณ์ เป็นลักษณะ เหมือนดวงประทีปส่องสว่าง ฉะนั้น มีความไม่หลงเป็นปัจจุปัฏฐาน (อาการปรากฏ) เหมือนพรานป่าบอกทางแก่คนหลงทาง ฉะนั้น” .


ในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมา แต่ละคนแต่ละท่านเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน และสะสมสิ่งที่ไม่ดีมามาก เพราะความเป็นปุถุชนจึงมากไปด้วยอกุศลธรรม ซึ่งได้สะสมมาอย่างเนิ่นนาน แม้ในวันนี้วันเดียวอกุศลธรรม ก็เกิดมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อมีความเข้าใจว่า กุศลธรรม มีมาก จึงมีการเห็นโทษของกุศลธรรม มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อที่จะขัดเกลากุศลธรรม เพื่อละกุศลธรรม เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ก็จะค่อยๆ เห็นว่าขณะจิตที่เป็นไปในแต่ละวันนั้น เป็นไปกับอกุศลธรรมมากมาย มีโลภะ ความติดข้องต้องการ โทสะ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ และ โมหะ ความหลง ความไม่รู้ความจริง เป็นต้น ตลอดเวลาที่จิตไม่ได้เป็นไปในการให้ทาน ไม่ได้เป็นไปในการรักษาศีล และ ไม่ได้เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญาด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ถ้าจิตไม่ได้น้อมไปในสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ ก็จะเป็นกุศลโดยตลอด

เมื่อกล่าวถึง ญาณ หรือ ปัญญา แล้ว เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เข้าใจถูก เห็นถูก เป็นสภาพธรรมที่แตกต่างจากอกุศลธรรมอย่างสิ้นเชิง กิจหน้าที่ของปัญญาคือ รู้ถูก เข้าใจถูก ซึ่งมีหลายระดับขั้น กล่าวคือ ปัญญาขั้นการฟังพระธรรมเข้าใจ ขณะที่เข้าใจ ก็เป็นปัญญา เป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก ปัญญาที่เข้าใจความจริงในกรรมและผลของกรรม ปัญญาระดับสมถภาวนาที่เป็นไปในการอบรมเจริญความสงบของจิต ปัญญาที่เกิดพร้อมสติที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ที่เป็นสติปัฏฐาน ก็เป็นปัญญาเช่นกัน จนกระทั่งถึงปัญญาในระดับที่เป็นโลกุตตระ สามารถดับกิเลสทั้งหลายได้ตามลำดับ ทั้งหมดเป็นเรื่องของปัญญา เป็นธรรมที่มีจริง

การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้ นั้น ต้องอาศัยการอบรมจากการฟัง การศึกษาพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ที่สำคัญ คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับ โดยที่ไม่มีใครไปบังคับหรือไปทำอะไรได้ ซึ่งจะต้องเป็นบุคคลที่เคยเห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม สะสมเหตุที่ดีมาแล้วในอดีตจึงได้ฟัง ได้ศึกษา ได้สะสมปัญญาต่อไป แต่ถ้าเป็นบุคคลผู้ไม่มีศรัทธา ไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรมแล้ว แม้จะมีพระธรรมอยู่ หรือ มีผู้ชักชวนให้ฟัง ก็จะไม่ฟัง นี้คือความต่างกันของการสะสมมาของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง

การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทำให้ได้ยินได้ฟังสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ทำให้เริ่มเห็นประโยชน์ของการฟัง และรู้ว่าเหตุที่จะทำให้ปัญญาเกิด ก็คือการฟังพระธรรม ด้วยความตั้งใจ ด้วยความละเอียดรอบคอบ เห็นคุณค่าในแต่ละคำที่เป็นคำจริงซึ่งหาฟังได้ยาก บุคคลผู้ที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง คิดธรรมเอาเองไม่ได้โดยประการทั้งปวง คิดธรรมเอาเองเมื่อไหร่ ผิดเมื่อนั้น และไม่มีตัวตนที่จะไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะให้ปัญญาเกิด แต่ต้องฟัง ต้องศึกษา เท่านั้น สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ก็จะเห็นได้ว่า ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ เมื่อฟังบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ให้เวลากับพระธรรม ความรู้ความเข้าใจถูก ก็ย่อมจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อม สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น เพราะการที่สัตว์โลกจะถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตได้นั้น ไม่ใช่ด้วยทรัพย์ หรือด้วยชาติกำเนิด แต่ต้องด้วยการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น แล้วปัญญาจะมากจากไหน ถ้าไม่เริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตั้งแต่ในขณะนี้ ปัญญาที่ได้สะสมในขณะนี้ จากการฟัง การศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้งไม่สูญหายไปไหน ยังสะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ และจะมีกำลังเพิ่มมากยิ่งขึ้น ถ้าได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมต่อไป ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน

เพราะฉะนั้นแล้ว จึงเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐ มีค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ที่จะทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษา มีความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสของตนเอง จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น เพราะปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับ เป็นที่พึ่งได้ในทุกระดับขั้น จนถึงสูงสุดของกำลังปัญญา ก็สามารถดับกิเลสได้จนหมดสิ้น ซึ่งกว่าจะไปถึงการดับกิเลสได้นั้น ก็จะต้องมีการเริ่มต้น คือ ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 12 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ