[คำที่ ๓๓๕] ปญฺญาวุธ

 
Sudhipong.U
วันที่  25 ม.ค. 2561
หมายเลข  32455
อ่าน  355

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “ปญฺญาวุธ”

คำว่า ปญฺญาวุธ เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านออกเสียงในภาษาบาลีว่า ปัน – ยา - วุ - ทะ] มาจากคำสองคำรวมกัน คือ คำว่า ปญฺญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) กับคำว่า อาวุธ (อาวุธ) รวมกันเป็น ปญฺญาวุธ แปลว่า อาวุธ คือ ปัญญา แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมฝ่ายดีอย่างหนึ่ง คือ ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง เมื่ออบรมเจริญไปตามลำดับ ถึงความเจริญคมกล้าก็สามารถตัดหรือดับหรือทำลายกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ทั้งหลายได้ เป็นที่พึ่งที่แท้จริงในชีวิต ดังข้อความในสุมังคลวิลาสินี อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สังคีติสูตร มีว่า

ปัญญาแม้นั้นก็เรียกว่า อาวุธ เพราะอรรถ (ความหมาย) ว่า เป็นที่พึ่งอาศัย.


ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เหตุที่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ที่สำคัญแล้วจะต้องเคยเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม มีศรัทธาที่จะฟัง ได้ฟังพระธรรมจากผู้ที่มีปัญญา และ มีการไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังด้วยความละเอียดรอบคอบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้ผู้ฟังได้พิจารณาไตร่ตรอง เป็นความเข้าใจของผู้ฟังเอง ขอเพียงเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรมซึ่งหมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เป็นธรรม เพราะในการฟัง การศึกษาพระธรรม นั้น เป็นการศึกษาเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีในขณะนี้จริงๆ ซึ่งสภาพธรรมจริงๆ นั้น มีลักษณะเฉพาะของตนๆ โดยไม่ต้องใช้ชื่ออะไรๆ ก็ได้ แต่ที่มีชื่อหรือใช้ชื่อนั้น ก็เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่า กำลังกล่าวถึงอะไร เพื่อให้เข้าใจถึงตัวจริงของสภาพธรรมที่กำลังกล่าวถึง นั่นเอง เพราะการฟังพระธรรม จะต้องมีเรื่องที่กำลังฟัง และ ก็จะต้องเป็นผู้เข้าใจเรื่องของสภาพธรรมนั้นๆ ด้วย สิ่งสำคัญ คือ ฟังแล้ว เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง ขอเพียงฟังให้เข้าใจจริงๆ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ เป็นปัญญาของตนเอง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีค่ามาก มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ ในโลกทั้งปวง ซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ฟัง ไม่มีโอกาสได้ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย บุคคลผู้ที่ฟัง ศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบเท่านั้น จึงจะเข้าใจและได้รับประโยชน์จากพระธรรมอย่างแท้จริง สิ่งที่ควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรม เป็นโอกาสที่หายากในชีวิต เป็นการยากมากที่จะได้ฟัง เมื่อมีโอกาสแล้ว ได้พบพระธรรมแล้ว ก็ไม่ควรจะปล่อยโอกาสนั้นให้ผ่านไป ควรตั้งใจฟังด้วยความเคารพจริงๆ

ขณะที่ฟังพระธรรม ขณะนั้นเป็นกุศล เป็นความดี เป็นกุศลแล้วในขณะที่ฟังพระธรรม ซึ่งก็หมายรวมถึงการพิจารณาไตร่ตรอง การสนทนา การสอบถามจากกัลยาณมิตรผู้ที่มีปัญญา ด้วย ทั้งหมดทั้งปวงนั้น เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาทั้งสิ้น แต่จะเจริญขึ้นมากน้อยแค่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่ที่การสะสมมาของแต่ละบุคคล

เป็นที่น่าพิจารณาว่า ขณะนี้ทุกชีวิตของทุกคนกำลังก้าวไปสู่ความแก่และความตาย ซึ่งแล้วแต่ว่าการระลึกถึงความตายของแต่ละท่าน จะทำให้ท่านเจริญกุศลเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง ว่างเปล่าทั้งหมด เพราะเหตุว่าเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะแล้วก็ดับไป ถ้าสะสมกุศลที่จะทำให้เป็นทางดับกิเลส วันหนึ่งก็จะดับได้ แม้ว่าการดับนั้นจะต้องใช้เวลาอันยาวนาน อุปมาเหมือนกับไฟกองใหญ่ ไฟ คือ กิเลส โลภะเกิดขึ้นขณะหนึ่งก็เป็นไฟ โทสะเกิดขึ้นขณะหนึ่งก็เป็นไฟ โมหะเกิดขึ้นขณะหนึ่งก็เป็นไฟ การที่จะดับไฟกองใหญ่ซึ่งสะสมมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์ ตั้งแต่ชาติก่อนๆ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ได้อย่างไร คงจะเป็นไปไม่ได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่ เพราะเหตุว่า ในขณะที่ชีวิตดำเนินไปในทางที่ดับชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ชีวิตก็ดำเนินไปในทางที่เกิด มากกว่า เพราะเหตุว่าใส่เชื้อไฟลงไปในกองไฟของโลภะ โทสะ โมหะ เพิ่มความใหญ่ของกองไฟนั้นทุกขณะ แต่ทางดำเนินไปสู่ทางดับนั้น ก็มีบ้างเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละชาติ

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องเป็นผู้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง และรู้ว่าอาศัยการฟังพระธรรม อาศัยการเข้าใจชีวิตให้ถูกต้อง และอบรมเจริญหนทางที่จะทำให้ถึงความดับได้ด้วยการเจริญปัญญา เพราะเหตุว่าอกุศลแม้ว่ามีมาก แต่ไม่มีกำลัง เป็นสภาพธรรมที่เกิดบ่อยจริง แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีกำลังเท่าฝ่ายกุศล ก็จะเห็นได้ว่า ทางฝ่ายอกุศลซึ่งเป็นอวิชชา (ความไม่รู้) บ้าง โลภะบ้าง โทสะบ้าง เกิดบ่อยจริง แต่กำลังไม่เท่ากับฝ่ายกุศล เพราะเหตุว่าอวิชชา ไม่รู้ความจริง แต่วิชชา หรือ ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่รู้ความจริง เป็นสภาพที่สามารถจะอบรมจนกระทั่งเจริญขึ้นคมกล้าขึ้น มิฉะนั้น จะดับทางฝ่ายอกุศลไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ทางฝ่ายกุศลเป็นฝ่ายที่มีกำลังจริงๆ ถ้าได้เจริญอบรมแล้ว แม้อวิชชาที่ได้สะสมมาในอดีตนานสักเท่าไร แต่เมื่อปัญญาคมกล้า ก็สามารถดับอกุศลนั้นๆ ได้

นี้คือคุณของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ใครก็ตามที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง เห็นประโยชน์และมีความอดทน มีความจริงใจ มีความเพียรที่จะฟังที่จะศึกษาต่อไป ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น นำมาซึ่งประโยชน์โดยส่วนเดียว จึงแสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐ มีค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ที่จะทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษา มีความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อการขัดเกลาละคลายกิเลสของตนเอง จนกระทั่งสามารถดับกิเลสทั้งหลาย ได้ในที่สุด เพราะปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับ เป็นที่พึ่งได้ในทุกระดับขั้น จนถึงสูงสุด กำลังของปัญญา ก็สามารถดับกิเลส ตัดกิเลสได้จนหมดสิ้น จึงเปรียบเสมือนว่า ปัญญา เป็นอาวุธ ซึ่งเป็นที่พึ่งที่แท้จริง เพราะสามารถตัดหรือดับหรือทำลายกิเลสได้ ซึ่งกว่าจะไปถึงการตัดหรือการดับกิเลสได้นั้น ก็จะต้องมีการเริ่มต้น คือ ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เห็นคุณค่าของคำจริงแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง ไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 12 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ