[คำที่ ๓๓๘] กิเลสกาม

 
Sudhipong.U
วันที่  15 ก.พ. 2561
หมายเลข  32458
อ่าน  321

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “กิเลสกาม”

คำว่า กิเลสกาม เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านออกเสียงตามภาษาบาลีว่า กิ – เล – สะ – กา – มะ] มากจากคำว่า กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) กับคำว่า กาม (ความใคร่,สภาพที่ใคร่,สภาพที่ติดข้องยินดีพอใจ) รวมกันเป็น กิเลสกาม หมายถึง กิเลสซึ่งเป็นสภาพที่ติดข้อง ใคร่ ยินดีพอใจ ได้แก่ โลภะ นั่นเอง ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เป็นอกุศลธรรมที่ติดข้องยินดีพอใจในสิ่งที่เป็นที่ติดข้องยินดีพอใจ เว้นเพียงโลกุตตรธรรม ๙ (มรรคจิต ๔ ผลจิต ๔ และ พระนิพพาน) เท่านั้น ที่โลภะติดข้องไม่ได้

ข้อความใน ปรมัตถโชติกา อรรถกถาขุททกนิกาย สุตตนิบาต ขัคควิสาณสูตร แสดงถึงกาม ๒ อย่าง ไว้ดังนี้ ว่า

“บทว่า กามา ได้แก่ กาม ๒ อย่าง คือ วัตถุกาม ๑ กิเลสกาม ๑. ในกาม ๒ อย่างนั้น ธรรมทั้งหลาย มีรูป เป็นที่รักของใจ เป็นต้น ชื่อว่า วัตถุกาม ธรรมทั้งหลาย อันเป็นประเภทแห่งราคะ (ความยินดีพอใจ) แม้ทั้งหมด เรียกว่า กิเลสกาม”.


ปกติในชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น อกุศลย่อมเกิดมากกว่ากุศล จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ความจริงก็เป็นอย่างนี้ แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ว่ามีอกุศลเกิดมากกว่า อาจจะสำคัญผิดด้วยซ้ำไปว่ามีกุศลมาก, อกุศล เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เป็นอย่างนี้มาแล้วนับชาติไม่ถ้วนในสังสารวัฏฏ์ โดยเฉพาะ โลภะ ซึ่งมีชื่อเรียกมากมาย เช่น นันทิ (ความเพลิดเพลิน) ราคะ (ความกำหนัด) อิจฉา (ความปรารถนา ความอยาก) อภิชฌา (ความเพ่งเล็งอยากได้) วานะ (เครื่องร้อยรัด) รุจิ (ความยินดี) อาลยะ (ความอาลัย) เป็นต้น แต่หมายถึงสภาพธรรมอย่างเดียวกัน เป็นสภาพที่ติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และ สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย เป็นต้น รวมถึงความติดข้องยินดีพอใจในนามธรรมและรูปธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ด้วย โลภะย่อมสะสมมากขึ้นทุกครั้งที่โลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) เกิดขึ้น เมื่อมีเหตุมีปัจจัย โลภะก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ และถ้าสะสมมากขึ้น มีกำลังมากขึ้น ย่อมจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน ได้ ฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ ประพฤติผิดในกามก็ได้ เป็นต้น ในขณะที่กระทำอกุศลกรรม นั้น ตนเองย่อมเดือดร้อน เพราะขณะนั้นได้สะสมอกุศล สะสมกิเลสอันเป็นเครื่องแผดเผาจิตใจให้เร่าร้อน สร้างเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเอง และ เมื่ออกุศลกรรมที่ได้กระทำไปแล้วถึงคราวให้ผล ก็ทำให้ตนเองประสบกับความทุกข์ ความเดือดร้อน ได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ สามารถนำเกิดในอบายภูมิได้ อันเป็นผลของอกุศลกรรมที่ตนได้กระทำแล้วนั่นเอง เพราะเหตุว่า อกุศลกรรม ให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น จะให้ผลเป็นสุขไม่ได้เลย

ถ้ามีกิเลสกาม กล่าวคือ มีโลภะ ถูกโลภะครอบงำแล้ว จะให้ทำอะไรๆ ก็ทำ ซึ่งเป็นอกุศลของตนเอง โลภะที่มีอยู่ในใจ เป็นเหมือนกับผู้คอยสั่งให้ทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ ครอบงำให้แสวงหา ให้ทำสิ่งต่างๆ ผู้นั้นก็เป็นไปตามอำนาจของกิเลสกามหรือโลภะโดยตลอด มีโลภะซึ่งเป็นเพื่อนที่ไม่ดีอยู่ด้วยอยู่ตลอดเวลา สำหรับบุคคลผู้มีโลภะมากๆ ติดข้องมากๆ ย่อมไม่รู้จักคำว่าพอ ไม่มีวันเต็มเลยสำหรับโลภะ ย่อมต้องการอยู่ตลอด ส่วนบุคคลผู้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถึงแม้ว่าตนเองจะยังมีโลภะอยู่ก็ตาม เมื่อฟังบ่อยๆ เนืองๆ ย่อมจะมีความรู้ความเข้าใจถึงโทษภัยของโลภะ สามารถค่อยๆ อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ สามารถรู้ลักษณะของโลภะว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และปัญญานี้เองเป็นธรรมที่จะขัดเกลาละคลายโลภะ จนสามารถดับโลภะได้อย่างเด็ดขาด เพราะที่ใดมีปัญญา ที่นั่นจะไม่มีโลภะ

เรื่องของโลภะ เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก บางคนทางกาย ทางวาจา อาจจะไม่มีอาการของความละโมบ ความอยาก ความต้องการ ความหวังให้ปรากฏ แต่ทางใจมี แม้แต่ความคิดที่เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นเพราะมีความต้องการเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น บางคนอาจจะมีการกระทำทางกาย หรือคำพูดทางวาจา ซึ่งอาจจะดูน่าเลื่อมใส แต่ว่าใจจริงของบุคคลนั้น ใครจะรู้ว่า มีความหวัง มีโลภะ มีความละโมบโลภมาก มีความปรารถนา มีความต้องการอะไรหรือเปล่า? แต่บุคคลผู้ที่อบรมเจริญปัญญา ต้องเห็นโทษของอกุศลอย่างละเอียด แล้วก็ควรที่จะขัดเกลา เพราะถ้ายังเป็นผู้ที่ไม่อิ่มในโลภะหรือกิเลสกาม ก็ไม่มีวันที่จะหมดโลภะได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่อิ่มในกุศลธรรม ไม่อิ่มในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ วันหนึ่งก็สามารถที่จะถึงการดับกิเลสได้ในที่สุด

ข้อสำคัญต้องเห็นกิเลสกามตรงตามความเป็นจริงว่า เป็นสภาพธรรมที่ควรจะขัดเกลาละคลายให้เบาบาง จนกระทั่งสามารถจะดับได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้เด็ดขาด) แต่การที่จะละคลายขัดเกลากิเลสกามให้เบาบาง เป็นสิ่งที่ละเอียด แล้วก็ยากมาก ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ เพราะลักษณะของโลภะนั้น เป็นอกุศล หนัก เดือดร้อน ดิ้นรน กระสับกระส่าย ไม่สงบ ไม่ว่าโลภะจะเกิดขึ้นในขณะใด ก็ทำให้จิตกระสับกระส่าย หวั่นไหว เดือดร้อนตามกำลังของโลภะ แสวงหาในสิ่งที่ต้องการ แสวงหามาเพื่อทุกข์ แสวงหามาเพื่อความเดือดร้อน แสวงหามาเพื่อความลำบาก แสวงหามาเพื่อความไม่สงบ นี้คือ ความเป็นจริงของโลภะ ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

เป็นที่น่าพิจารณาว่า โลภะ ความติดข้องยินดีพอใจ ซึ่งเป็นกิเลสกาม เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน นั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ คือ มีกิเลสกาม มีความติดข้องต้องการ แต่สะสมศรัทธามาที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสของตนเอง จนกระทั่งสามารถดับความติดข้องยินดีพอใจได้ นี้คือ สิ่งที่น่าอัศจรรย์ กว่าจะถึงความน่าอัศจรรย์ดังกล่าวนี้ได้ ก็ต้องได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะพระธรรมทั้งหมดที่พระองค์ทรงแสดง เป็นไปเพื่อละกิเลสกาม กล่าวคือ เพื่อละความติดข้องยินดีพอใจจนหมดสิ้น ไม่ต้องมีการเกิดอีกในภพใหม่ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์อีก ถึงความเป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง หนทางนี้ คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา เป็นไปเพื่อละกิเลสทั้งหลายทั้งปวงอย่างแท้จริง และเป็นหนทางที่จะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 12 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ