[คำที่ ๓๔๑] ปฏิฆ
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “ปฏิฆ”
คำว่า “ปฏิฆ” เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า ปะ - ติ - คะ] แปลว่า ความกระทบกระทั่งแห่งจิต เป็นความไม่พอใจ เป็นอีกคำหนึ่งที่แสดงถึงความเป็นไปของโทสะ ซึ่งเป็นความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็คือ โทสเจตสิก ซึ่งเป็นอกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตที่เป็นอกุศลประเภทที่มีโทสะเกิดร่วมด้วยเท่านั้น ความกระทบกระทั่งแห่งจิต นั้น เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดขึ้นจริงๆ ตามการสะสมของแต่ละบุคคล และ มีหลายระดับ ตั้งแต่ขั้นเพียงเล็กน้อย จนถึงมีกำลังกล้าสามารถประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นได้ แม้แต่ผู้มีพระคุณ ผู้ถูกความโกรธครอบงำ ยังประทุษร้ายได้ ด้วยกำลังของความโกรธ ซึ่งจะประมาทความโกรธ ไม่ได้เลยทีเดียว เพราะความโกรธที่มีมากและมีกำลัง ก็มาจากความโกรธทีละเล็กทีละน้อย พระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องเตือนให้ได้เข้าใจถูกเห็นถูก และ เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลธรรมตามความเป็นจริง
ข้อความใน ปรมัตถโชติกา อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต สัมมาปริพพาชนิยสูตร แสดงถึงความเป็นจริงของปฏิฆะไว้ว่า
บทว่า ปฏิฆํ ได้แก่ ความกระทบกระทั่ง . ท่านอธิบายว่า ความกระทบกระทั่งทางจิต. บทว่า ปฏิฆํ นี้เป็นวิเสสนะ (คำอธิบาย,คำขยาย) ของโทสะ.
ข้อความใน อัฏฐสาลินี อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี แสดงถึงความเป็นจริงของปฏิฆะ ไว้ว่า
สภาวะที่ชื่อว่า ปฏิฆะ เพราะอรรถว่า ย่อมกระทบในอารมณ์โดยภาวะที่ไม่พอใจ. อกุศลจิตที่สัมปยุตต์ (ประกอบ) ด้วยปฏิฆะ นั้น ชื่อว่า ปฏิฆสัมปยุตต์.
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ตรงตามความเป็นจริง ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน หรือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใด ล้วนแล้วย่อมไม่พ้นไปจากธรรม แม้แต่ในเรื่องของความกระทบกระทั่งแห่งจิต หรือความโกรธความไม่พอใจ ก็เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ลักษณะของความโกรธ ก็คือ ขุ่นเคือง ดุร้าย กระสับกระส่าย ไม่สงบ เกิดขึ้นเมื่อใด ไม่สบายใจเมื่อนั้น เนื่องจากเวทนา (ความรู้สึก) ที่เกิดร่วมกับความโกรธ มีเพียงหนึ่งเดียว คือ โทมนัสเวทนา ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เป็นทุกข์ใจ เท่านั้น
ปกติในชีวิตประจำวัน แต่ละบุคคล ล้วนมีอกุศลมากด้วยกันทั้งนั้น ทั้งความติดข้องยินดีพอใจ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจ ความตระหนี่ ความริษยา ความไม่รู้ เป็นต้น แต่ถ้าถึงกับที่จะต้องล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นนั้น ขณะนั้นแสดงให้เห็นถึงกำลังของกิเลสว่ามีมากทีเดียว
การที่บุคคลมีความประพฤติไม่ดีประการต่างๆ ประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนในลักษณะต่างๆ นั้น แท้ที่จริง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเลย แต่เป็นเพราะกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตที่มีกำลังเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เท่านั้น จึงเรียกว่าเป็นบุคคลผู้มีความประพฤติไม่ดี เมื่อพบเห็นหรือได้ทราบถึงความเป็นไปของบุคคลผู้ประพฤติไม่ดีเช่นนี้ จึงไม่ควรที่จะเพิ่มกิเลสให้กับตนเองด้วยการไปโกรธหรือผูกโกรธเขา เพราะขณะที่เราโกรธเขา ก็เป็นอกุศลของเราเอง และที่จะควรจะได้พิจารณาอย่างยิ่ง คือ เคยโกรธใคร เคยเกลียดใคร คนนั้นไม่ติดตามเราไปในภพหน้า แต่ความโกรธของเราติดตามไปสะสมอยู่ในจิต เป็นโทษสำหรับตนเองเท่านั้น
ตามความเป็นจริงแล้ว บุคคล ผู้ควรโกรธ ไม่มี จะเห็นได้ว่า ไม่มีคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแม้แต่บทเดียวที่สอนให้โกรธ สอนให้โกรธตอบ หรือ สอนให้เป็นอกุศลแม้จะเล็กน้อย มีแต่คำสอนที่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมประการต่างๆ ขัดเกลากิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต จนกว่าจะสามารถดับได้จนหมดสิ้น
ถ้าไม่เห็นโทษของกิเลสทั้งหลาย มีความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ เป็นต้น แล้วไม่ขัดเกลา ไม่ละคลายด้วยความเข้าใจพระธรรม นับวันก็มีแต่จะพอกพูนอกุศลให้มากขึ้น เป็นเหมือนทุกๆ ชาติที่ผ่านมา ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว เพราะกว่าจะไปถึงการดับกิเลสตามลำดับขั้น นั้น กุศลธรรมทั้งหลายต้องเจริญขึ้น และ ต้องได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง คุณของพระธรรม นี้เอง จะเป็นเครื่องอุปการเกื้อกูลให้ชีวิตเป็นไปในทางที่เป็นกุศล มั่นคงยิ่งขึ้น
และประการที่สำคัญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ผู้มีปัญญาเท่านั้น ย่อมเป็นผู้อดทนต่อความเสียหายที่ผู้อื่นกระทำกับตน ได้ ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะใด น้อยหรือมากเพียงใดก็ตาม แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่มีปัญญา ย่อมไม่อดทนต่อความเสียหายที่ผู้อื่นกระทำให้กับตน แต่จะโกรธตอบ ทำร้ายตอบด้วยวิธีการต่างๆ , ความเสียหายที่ผู้อื่นกระทำกับผู้มีปัญญา ย่อมทำให้ท่านเป็นผู้มีความอดทนมากขึ้น แต่คนที่ไม่มีปัญญา เมื่อผู้อื่นทำความเสียหายให้ ย่อมเพิ่มความโกรธมากขึ้น สะสมอกุศลเพิ่มขึ้นซึ่งไม่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย นี่ก็เป็นความต่างกันที่เห็นได้ชัดระหว่างผู้ที่มีปัญญา กับ ผู้ที่ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้น ปัญญา จึงเป็นสภาพธรรมที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ประเสริฐกว่าทรัพย์ภายนอกอย่างเทียบกันไม่ได้ เพราะทรัพย์ภายนอก เช่น แก้ว แหวน เงิน ทอง บางครั้งบางคราวก็ทำให้เกิดทุกข์ เดือดร้อน นำมาซึ่งภัยอันตรายมากมาย แต่ปัญญา นำมาซึ่งคุณประโยชน์แก่ชีวิตอย่างเดียว ไม่นำความทุกข์ความเดือดร้อนใดๆ มาให้เลย แล้วปัญญาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ต้องมีเหตุที่จะทำให้ปัญญาเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญาอย่างแท้จริง และกุศลธรรมประการอื่นๆ ก็จะเจริญขึ้นคล้อยตามปัญญาที่เจริญขึ้น ด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ นี้ ก็ควรที่จะเป็นไปเพื่อการอบรมเจริญปัญญา พร้อมกับสะสมความดีประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ