[คำที่ ๓๔๒] สามเณร

 
Sudhipong.U
วันที่  15 มี.ค. 2561
หมายเลข  32462
อ่าน  530

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สามเณร”

คำว่า สามเณร เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า สา - มะ - เน - ระ] หมายถึง บุคคลผู้เป็นเหล่ากอหรือเชื้อสายของสมณะซึ่งเป็นผู้สงบ มีวิเคราะห์ศัพท์ว่า เหล่ากอ ของสมณะ ชื่อว่า สามเณร ดังนั้น จึงเป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้ว่าจะยังไม่ได้อยู่ในวัยที่ถึงกาละบวชเป็นพระภิกษุ แม้เป็นสามเณร ด้วยความจริงใจ เห็นประโยชน์ของการขัดเกลากิเลส มีการฟังมีการศึกษาพระธรรม ก็ย่อมเป็นประโยชน์ ไม่ใช่บวชสามเณร ตามๆ กันด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่บวชเพื่อความน่ารักในความเป็นเด็ก เป็นต้น ถ้าหากบวชเป็นสามเณรแล้ว แต่ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย ก็เป็นโทษ เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิได้ ตามข้อความใน พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ดังนี้ คือ

ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าว (กับพระลักขณะ) ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ผมลงจากคิชฌกูฏบรรพต เขตพระนครราชคฤห์นี้ ได้เห็นสามเณรเปรต ลอยไปในเวหาส์ (อากาศ) สังฆาฏิ บาตร ประคดเอว และร่างกาย ของมัน ถูกไฟติด ลุกโชน เปรตนั้น ร้องครวญคราง ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สามเณรเปรตนั้น เคยเป็นสามเณรผู้ลามก (ชั่ว, เลวทราม) ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า


สามเณร เป็นเพศบรรพชิต เป็นเพศที่สูงกว่าคฤหัสถ์ เป็นเหล่ากอหรือเชื้อสายของสมณะคือผู้สงบ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรม มีจิตใจหนักแน่นมั่นคงที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา แม้ชีวิตจะยังไม่ถึงกาละที่จะอุปสมบท (บวช) เป็นพระภิกษุ ก็ตาม ในสมัยครั้งพุทธกาล มีสามเณรเป็นจำนวนมากที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการบรรพชาเป็นสามเณร คือ สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรมจริงๆ

ลองคิดดูย้อนกลับไปในสมัยครั้งพุทธกาล พระนครสาวัตถี ตอนเช้าตรู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต มีพระภิกษุทั้งหลายเดินตาม ลองคิดภาพดู อากัปกิริยาอาการทั้งหมดตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระภิกษุทั้งหลาย เป็นศากยบุตร เป็นบุตรที่เกิดจากพระปัญญาของพระองค์ เป็นผู้ขัดเกลากิเลส ด้วยการเห็นคุณประโยชน์ในการประพฤติคล้อยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีการคึกคะนอง หรือทำกิริยาอาการผิดพระวินัย แม้สามเณรซึ่งยังไม่ได้เป็นภิกษุ ก็ยังต้องมีกิริยาอาการคล้อยตามภิกษุ เพราะเป็นเชื้อสายหรือเหล่ากองของพระภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ แม้จะขัดเกลากิเลสในเพศของสามเณรก็แสนยาก เพราะกาย วาจา ต้องประพฤติตามพระภิกษุทุกอย่าง

สามเณรก็มีสิกขาบทที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตามเป็นพระวินัยของสามเณร และต้องมีเสขิยวัตร คือ ความประพฤติทางกาย ทางวาจาในชีวิตประจำวัน เหมือนภิกษุทุกประการ ไม่ประพฤติตามไม่ได้เลย

ไม่ใช่ว่าเมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว จะทำอะไรก็ได้ จะสนุกสนานอย่างไรก็ได้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรงและจริงใจ สามเณรก็ไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครชักชวนหรือเชื้อเชิญให้บวช เพราะผู้ที่รู้ว่าพระพุทธศาสนานั้นบริสุทธิ์สูงยิ่ง ละเอียดยิ่ง ขัดเกลาอย่างยิ่ง ต้องรู้ประโยชน์ของพระธรรมวินัยจริงๆ จึงสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้ เมื่อรู้อย่างนี้ คนยุคนั้น ไม่กล้าที่จะชักชวนกันบวชอย่างคนยุคนี้ที่ชักชวนกันไปบวชเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน ยุคนี้มีการชักชวนกันไปบวชเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสนเพื่ออะไร เห็นไหมว่า ไม่มีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้มีความเข้าใจในพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

คฤหัสถ์มีความเคารพยิ่งในเพศบรรพชิตซึ่งต่างจากเพศคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ไม่สามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือนอย่างบรรพชิตได้ จึงมีศรัทธาที่จะอนุเคราะห์บำรุงเพศบรรพชิตที่เป็นพระภิกษุและสามเณร เพื่อให้ท่านได้ศึกษาพระธรรมขัดเกลากิเลสด้วยความเบาสบาย ไม่ต้องเดือดร้อนในการดำรงชีพด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น คฤหัสถ์อนุเคราะห์บรรพชิตให้มีที่อยู่ มีอาหาร มียารักษาโรค มีจีวรเครื่องนุ่งห่ม พอควร เพียงพอสำหรับบรรพชิต

คฤหัสถ์เห็นบรรพชิตแล้วกราบไหว้ด้วยความเคารพในอัธยาศัยที่สามารถขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตได้ ยิ่งเข้าใจพระธรรมวินัยมากเท่าไหร่ ความเคารพในเพศบรรพชิตก็ยิ่งมากเท่านั้น แต่ว่าถ้าไม่ใช่ภิกษุสามเณรตามธรรมวินัย ไม่ใช่ผู้ที่จะดำรงพระศาสนา แต่กลับทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งธรรมและวินัยด้วย แล้วคฤหัสถ์จะเคารพในภิกษุสามเณรผู้เป็นอลัชชี ผู้ไม่ละอาย อย่างนั้นหรือ? การบวช ไม่ใช่ง่าย ไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่ใครก็บวชได้ เพราะการบวชเป็นการสละ ละความติดข้อง ผู้บวชเป็นผู้สงบจากความติดข้อง แม้ผู้ที่บวชเป็นสามเณรในพระธรรมวินัยนั้น จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย มิฉะนั้นแล้วก็ทำลายพระศาสนา เพราะเหตุว่า ไม่เข้าใจธรรม แล้วจะบวชทำไม เมื่อบวชโดยไม่เข้าใจธรรมจึงทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทั้งหมดเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง พระศาสนาก็อันตรธาน ใครก็ตามที่ไม่เข้าใจพระธรรม พระธรรมก็อันตรธาน คือ สูญสิ้นหายไปแล้วจากคนนั้น อันตรธานแล้วเดี๋ยวนี้ที่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น พระศาสนาจะดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมอย่างถูกต้อง บวชแล้วไม่ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ไม่รักษาพระวินัยแล้วจะบวชทำไม เพราะฉะนั้น คำตอบก็คือ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมและไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็บวชทำลายพระศาสนา ผู้ที่ไม่ศึกษาไม่เข้าใจพระธรรมแล้วบวช ผู้นั้นลักขโมยเพศบรรพชิต เป็นการปลอมบวช ไม่ใช่เป็นการบวชด้วยความเคารพในพระบรมศาสดา เป็นโทษสำหรับผู้นั้นอย่างแท้จริง แม้ผู้ที่เป็นสามเณร ไม่ประพฤติตนเป็นสามเณรตามพระธรรมวินัย เมื่อละจากโลกไป ไปเกิดในอบายภูมิ ก็มีเช่นเดียวกัน จะเห็นว่าเป็นเรื่องเล่นๆ ไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้นแล้ว ควรที่จะได้พิจารณาว่า ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด เพศใด คฤหัสถ์หรือบรรพชิต ถ้ามีความตั้งใจมีความจริงใจ มีความอดทน มีความเพียรในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมแล้ว ย่อมได้รับประโยชน์จากพระธรรมอย่างแท้จริง ตามกำลังปัญญาของตนเอง ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรม เป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 12 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ