[คำที่ ๓๕๗] อทสฺสน

 
Sudhipong.U
วันที่  28 มิ.ย. 2561
หมายเลข  32477
อ่าน  309

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อทสฺสน

คำว่า อทสฺสน เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า อะ – ทัด - สะ - นะ] มาจากคำว่า (ไม่) [แปลง น เป็น อ] กับคำว่า ทสฺสน (ความเห็น) รวมกันเป็น อทสฺสน แปลว่า ความไม่เห็น ในที่นี้มุ่งหมายถึง ความไม่เห็นตามความเป็นจริง แสดงถึงความจริงของอกุศลธรรมประการหนึ่ง ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เกิดกับอกุศลจิตทุกขณะ สะสมสืบต่ออยู่ในจิต คือ อวิชชา หรือ โมหะ ตราบใดก็ตามที่ยังมีอวิชชาอยู่ ก็ยังเป็นเหตุให้ทำกรรมที่ดีบ้าง ไม่ดี บ้าง ทำให้ท่องเที่ยววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ต่อไป เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต อย่างยิ่ง ผู้ที่จะดับอกุศลประเภทนี้ได้หมดสิ้น คือ พระอรหันต์

ข้อความใน สัมโมหวิโนทนี อรรถกถา พระอภิธรรมปิฎก วิภังคปกรณ์ แสดงความเป็นจริงของ อทัสสนะ ไว้ ดังนี้

“ปัญญา ชื่อว่า ทัสสนะ (ความเห็น) ก็มี ปัญญาแม้นั้นย่อมเห็นซึ่งอาการแห่งสัจจธรรม ๔ (ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และหนทางที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์) ตามที่กล่าวนั้น แต่ อวิชชาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ให้เพื่อเห็นสัจจธรรม ๔ นั้น เพราะฉะนั้น อวิชชา จึงชื่อว่า อทัสสนะ (ความไม่เห็นตามความเป็นจริง) ”


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ทุกคำ เป็นคำหวังดี เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูล เป็นประโยชน์ให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นกัลยาณมิตรสูงสุด เพราะเหตุว่า ทุกคำจริงของพระองค์ ไม่ได้หวังให้ใครเข้าใจผิดเลยแม้แต่น้อย แต่พระองค์ทรงแสดงธรรมโดยนัยต่างๆ มากมาย หลากหลาย โดยประการทั้งปวง ที่จะทำให้ผู้ฟังผู้ศึกษาค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจในความเป็นจริงของธรรม ตามความเป็นจริง แม้แต่ในเรื่องของอวิชชา ซึ่งเป็นความไม่รู้ พระองค์ทรงใช้พยัญชนะมากมากที่แสดงถึงความจริงของธรรมประเภทนี้ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เป็นสภาพธรรมที่เศร้าหมอง

เมื่อกล่าวถึงความเศร้าหมองแล้ว ย่อมเป็นความไม่บริสุทธิ์ เป็นความมัวหมอง ได้แก่ กิเลสทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ อวิชชา เป็นความเศร้าหมองอย่างยิ่งกว่าความเศร้าหมองทั้งหลาย คนที่ยังมีกิเลสอยู่ จะกล่าวว่า ตนเองไม่มีความเศร้าหมอง เป็นผู้ปราศจากความเศร้าหมอง ไม่ได้ เพราะเหตุว่า บุคคลผู้ที่ไม่มีความเศร้าหมอง เป็นผู้ที่ปราศจากความเศร้าหมองโดยประการทั้งปวง คือ พระอรหันต์เท่านั้น

กิเลสทั้งหลายทั้งปวงย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส สำหรับผู้ที่ยังเป็นปุถุชน ในชีวิตประจำวันในภพนี้ชาตินี้ก็ยังไม่พ้นไปจากกิเลสใดๆ เลย เป็นผู้ถูกกิเลสกลุ้มรุมเกือบจะตลอดเวลา เพราะถ้าความดีไม่เกิด ก็เป็นโอกาสที่กิเลสจะเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ทำให้จิตเป็นอกุศล แปดเปื้อนจิต ทำให้จิตเศร้าหมอง ซึ่งไม่เพียงแต่ในชาตินี้เท่านั้นที่มีกิเลสมาก โดยมีอวิชชา ความไม่รู้ เป็นหัวหน้า เมื่อย้อนกลับไปในอดีตชาติอันยาวนานที่ผ่านมา ก็มีกิเลสมาก มีความไม่รู้มากเหมือนกัน สะสมสืบต่อจนมาถึงปัจจุบันชาตินี้ ทำให้ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ทันทีที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ก็ติดข้องพอใจ หรือ โกรธ ขัดเคือง ไม่พอใจแล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่ากิเลสที่สะสมมา มีมากเหลือเกิน กำลังจมอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ยังไม่มีเรี่ยวแรงที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ไปได้

ขณะใดที่อกุศลเกิดขึ้น ให้ทราบว่ามีความไม่รู้อยู่ขณะนั้น เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มากแค่ไหน เพราะอกุศลก็มีหลายอย่าง ไม่ใช่มีแต่เฉพาะโลภะ (ความติดข้อง ความยินดีพอใจ) โทสะ (ความโกรธ ความไม่พอใจ) เท่านั้นที่เกิดขึ้น ยังมีอกุศลอีกมาก ซึ่งขณะนั้นก็มีความไม่รู้ ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ความไม่รู้จะมากมายสักแค่ไหน เพราะบางขณะที่โลภะไม่เกิด โทสะ ไม่เกิด แต่แม้ขณะนั้นก็ต้องมีความไม่รู้อยู่ด้วย นี้คือ ความเป็นจริงของธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า อกุศลจิตทุกประเภท ทั้งที่มีโลภะเป็นมูล ทั้งที่มีโทสะเป็นมูล และทั้งที่มีโมหะหรืออวิชชา เป็นมูล ทุกขณะมีอวิชชาเกิดร่วมด้วย ไม่ปราศจากอวิชชา เลย ย่อมไม่เห็นตามความเป็นจริงในขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้น

พระธรรมทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อความเข้าใจถูก เพื่อเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม แต่เนื่องจากสะสมความเป็นเรามาอย่างยาวนาน ก็ยังเป็นเราอยู่ เราต้องการสิ่งต่างๆ ก็ยังเป็นเรา แต่ตามความเป็นจริง ก็คือ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมีจริงๆ ตามเหตุตามปัจจัยซึ่งไม่ใช่เรา พระธรรมทั้งหมดเพื่อให้รู้ความจริง ไม่ว่าจะเป็นขณะไหนก็ตาม ขณะเห็นก็จริง แต่ยังไม่รู้ความจริง ขณะกำลังได้ยิน ก็จริง แต่ยังไม่รู้ความจริง ขณะกำลังคิด ก็จริง แต่ไม่รู้ความจริง อวิชชา เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เป็นความไม่รู้ ไม่เห็นความจริง เป็นสภาพที่หุ้มห่อไว้ทำให้ไม่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริงก็ไม่สามารถที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิต เมื่อเป็นเช่นนี้ อวิชชา จึงเกิดกับขณะจิตมากมายอย่างนับไม่ถ้วน ซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไม่มีทางเข้าใจเลยว่า มากไปด้วยอวิชชา เป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ จนกระทั่งสามารถรู้ได้ว่า เป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้น

ขณะที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจถูกเห็นถูก ขณะนั้นปัญญาค่อยๆ สะสมอบรมทีละเล็กทีละน้อย ปัญญาขั้นฟังยังไม่สามารถดับอวิชชาได้ แต่ปัญญาจะค่อยๆ คลายความไม่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงลงได้ โดยที่ไม่มีตัวตนของใครจะสามารถตัดหรือทำลายอวิชชาให้ตกลงไปได้ นอกจากผู้นั้นจะมีโอกาสฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ประมาทในคำจริงแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งจะเป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายอวิชชาซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่เห็นตามความเป็นจริง ได้ ในที่สุด.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 12 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ