[คำที่ ๓๗๔] ทิฏฺฐิสมฺปทา

 
Sudhipong.U
วันที่  25 ต.ค. 2561
หมายเลข  32494
อ่าน  344

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ "ทิฏฺฐิสมฺปทา"

คำว่า ทิฏฐิสมฺปทา เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า ทิด - ถิ - สำ - ปะ -ทา] มาจากคำว่า ทิฏฺฐิ (ความเห็น) [ในที่นี้แสดงถึงความเห็นถูก คือ ปัญญา] กับคำว่า สมฺปทา (ความถึงพร้อม) รวมกันเป็น ทิฏฺฐิสมฺปทา แปลว่า ความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ ความเห็นถูก

ตามความเป็นจริงแล้วความเห็น มี ๒ ประเภท คือ ความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ,ปัญญา) กับ ความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเหตุว่า ความเห็นถูก เป็นธรรมที่ดีงาม เป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้คุณความดีทั้งหลายเจริญขึ้น เป็นที่พึ่งได้ในทุกระดับขั้น จนถึงสูงสุดสามารถทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ ส่วน ความเห็นผิด เป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมที่มีโทษ ให้ผลเป็นทุกข์ ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่อกล่าวถึงความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ก็ต้องหมายถึง ความเกิดขึ้นเป็นไปของปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก เท่านั้น ไม่ใช่ความเห็นผิด, ปัญญา หรือ สัมมาทิฏฐิ เป็นเจตสิกธรรม (ธรรมที่เกิดประกอบกับจิต) ฝ่ายดีประการหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่ประเสริฐยิ่ง เป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลอย่างดียิ่งในชีวิตประจำวัน ทำให้กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น และทำให้อกุศลธรรมค่อยๆ ถูกขัดเกลา จนกระทั่งสามารถดับได้อย่างหมดสิ้น ข้อความใน พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต อยสูตร แสดงความเป็นจริงของความถึงพร้อมด้วยความเห็นถูก หรือ ทิฏฐิสัมปทา ไว้ว่า

ทิฏฐิสัมปทา เป็นอย่างไร? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นไม่วิปริตว่า “ทาน มีผล, การบูชา มีผล, การบวงสรวง [กล่าวคือ มงคลกิริยา ได้แก่ การต้อนรับแขกที่มาเยือนด้วยข้าวน้ำและสิ่งที่เป็นประโยชน์] มีผล, ผลวิบาก ของกรรมดีและชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ (เกิดผุดขึ้นเป็นตัวทันที) มี, สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินถูกทาง ผู้ปฏิบัติชอบ ที่กระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง แล้วสอนโลกนี้และโลกอื่นให้รู้ มีอยู่ในโลก” นี้ เรียกว่า ทิฏฐิสัมปทา


พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศที่สุด ประเสริฐที่สุด เจริญที่สุดในโลก ไม่มีใครเสมอเหมือน พระบารมีคุณความดีทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงสะสมอบรมมาตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก จึงทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริง เกื้อกูลสัตว์โลก เพื่อให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงบำเพ็ญประโยชน์ต่อสัตว์โลกโดยตลอด มีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งมนุษย์ เทวดา และพรหมบุคคล

การที่แต่ละบุคคลจะรู้ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมากน้อยเพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งจะต้องฟัง พิจารณาไตร่ตรองบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น และประการที่สำคัญ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น ไม่พ้นไปจากเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ว่า เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งๆ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

แม้แต่ทิฏฐิ หรือ ความเห็นก็มีจริงๆ เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ความเห็น มี ๒ ประเภท คือ ความเห็นถูก กับ ความเห็นผิด ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เป็นความเห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เป็นความเห็นที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง ความเห็นผิด ไม่ได้มีเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้เท่านั้น มีมาแล้วทุกยุคทุกสมัย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ความเห็นผิดเป็นอกุศลธรรมที่อันตรายมาก มีโทษมาก เพราะว่าเมื่อมีความเห็นผิดแล้ว กาย วาจา ใจ ย่อมเป็นไปในทางที่ผิดทั้งหมด บางคนตนเองเห็นผิดแล้ว ยังแนะนำให้ผู้อื่นเห็นผิดตามไปด้วย ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก ทำให้คนออกจากพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการปิดกั้นผู้อื่นไม่ให้มาสู่หนทางที่ถูกต้อง ส่วนความเห็นถูก เป็นปัญญา หรือ สัมมาทิฏฐิ เป็นสภาพธรรมที่เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ถ้ามีความเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง แล้ว กาย วาจา ใจ ย่อมเป็นไปในทางที่ถูก คล้อยตามความเห็นที่ถูกต้อง ทั้งหมด, ความความเห็นถูก จะค่อยๆ เจริญขึ้นได้ ก็เพราะอาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง บ่อยๆ เนืองๆ เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ด้วยความละเอียด และรอบคอบ เห็นประโยชน์ของคำที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป ความเข้าใจถูกเห็นถูกที่ได้สะสมไว้นี้ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ ย่อมจะเป็นเหตุให้เป็นผู้มีความสนใจ เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไปอีก เกื้อกูลให้ไม่หลงผิด ไม่ตกไปในฝ่ายที่ผิด

เพราะฉะนั้น สัมมาทิฏฐิ หรือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นธรรมที่ไม่มีโทษเลย มีแต่คุณประโยชน์เพียงอย่างเดียว เท่านั้น จะเห็นได้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญเรื่องของสัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญา เป็นอย่างมาก และที่สำคัญ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงทั้งหมด เป็นไปเพื่อปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง โดยตลอด

ถ้าไม่มีปัญญา คือ ความเห็นถูกเลย อกุศลธรรมย่อมเกิดอยู่เรื่อยๆ ครอบงำทับถมต่อไป มีความติดข้อง มีความยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นในตัวตน ในสัตว์ ในบุคคล ในเรา ในเขา อย่างเต็มที่ทีเดียวตามความเห็นผิด ที่ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ถ้ามีความเห็นถูกเกิดขึ้น เจริญขึ้น อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดก็ย่อมไม่เกิด เพราะมีความเห็นถูกเกิดขึ้นแล้ว เป็นกุศลธรรมในขณะนั้น อกุศลย่อมเกิดไม่ได้ หรือแม้อกุศลธรรมที่เกิดแล้ว ย่อมเสื่อมไป อกุศลธรรมทั้งหลายที่ได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ปัญญาก็สามารถดับได้เมื่ออบรมเจริญถึงความสมบูรณ์พร้อมแล้ว ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่การได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย นี้คือ คุณประโยชน์ของความถึงพร้อมด้วย ปัญญา นำมาซึ่งประโยชน์อย่างเดียว เป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง ไม่นำพาชีวิตไปสู่ทางเสื่อมเลยแม้แต่น้อย.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 14 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ