[คำที่ ๓๗๕] พุทฺธรตน

 
Sudhipong.U
วันที่  1 พ.ย. 2561
หมายเลข  32495
อ่าน  303

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ พุทฺธรตน

คำว่า พุทฺธรตน เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า บุด – ดะ - ระ - ตะ - นะ] มาจากคำว่า พุทฺธ (ผู้รู้ ในที่นี้มุ่งหมายถึง ผู้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) กับคำว่า รตน (สิ่งที่มีค่ามาก, สิ่งที่ประเสริฐ, ควรแก่การบูชา,พบเห็นได้โดยยาก) รวมกันเป็น พุทฺธรตน เขียนเป็นไทยได้ว่า พุทธรัตนะ หมายถึง สิ่งที่มีค่า สิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่หาสิ่งใดเปรียบมิได้ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ข้อความในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต แสดงความประเสริฐที่สุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไว้ว่า

“สัตว์ที่ไม่มีเท้าก็ดี มี ๒ เท้าก็ดี มี ๔ เท้าก็ดี มีเท้ามากก็ดี มีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ดี มีสัญญาก็ดี ไม่มีสัญญาก็ดี มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ก็ดี มีประมาณเท่าใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่าสัตว์เหล่านั้น”


บุคคลผู้ที่ประเสริฐที่สุดในโลก ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธรัตนะ เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) มาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นเวลาที่นานมาก เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลสัตว์โลกด้วยการทรงแสดงพระธรรมให้ได้เข้าใจความจริง พระมหากรุณาคุณของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก คือ ทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง จากที่สัตว์โลกเคยเป็นผู้มากไปด้วยกิเลสประการต่างๆ ก็สามารถที่จะขัดเกลาละคลายและดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ด้วยปัญญาอันเกิดจากการได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง การที่พระองค์ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี ซึ่งเป็นธรรม ให้คนอื่นได้รู้ได้เข้าใจด้วย เป็นพระคุณอันสูงสุดยิ่งของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมให้คนอื่นได้รู้ได้เข้าใจด้วย จึงมีผู้ที่อบรมเจริญปัญญาสามารถที่จะรู้แจ้งความจริงตามพระองค์ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกอบด้วยพระบริสุทธิคุณ ทรงดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ทรงมีความบริสุทธิ์ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ โดยไม่มีใครเสมือเหมือน พระปัญญาคุณ ทรงมีพระปัญญาที่รู้สภาพธรรมทุกอย่างไม่มีเหลือ และพระมหากรุณาคุณ ทรงมีพระทัยประกอบด้วยมหากรุณาเกื้อกูลสัตว์โลก ด้วยการแสดงพระธรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่อสัตว์โลกทั้งปวงอย่างแท้จริง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลที่เสมอกับบุคคลที่ไม่มีใครเสมอ นั่นก็คือ ทรงเสมอกันกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ การจะอธิบายให้เห็นว่าพระคุณของพระองค์มีมากมากเพียงใดนั้น ท่านแสดงไว้ว่า ในระยะเวลาหนึ่งกัปป์ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงอย่างเดียว หนึ่งกัปป์ดังกล่าวนั้นสิ้นไปก่อนแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ ก็ยังกล่าวสรรเสริญไม่หมด

การที่พุทธบริษัทจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ นั้น ก็ต้องด้วยปัญญาที่เข้าใจพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เท่านั้น แม้เมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็มีทางเดียวเช่นเดียวกัน คือ ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงสามารถรู้ได้ว่าบุคคลนี้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงแสดงสิ่งที่มีจริงที่ผู้อื่นไม่สามารถจะแสดงได้ ไม่สามารถตรึก นึก คิด ไตร่ตรองประมวลเองได้แม้แต่คนเดียว ไม่มีใครเลยที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากผู้ที่ได้อบรมเจริญบารมีมาอย่างสมบูรณ์ พร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระธรรมทั้งหมดที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว เป็นศาสดาแทนพระองค์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา แม้จะผ่านมาแล้ว ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่ก็ยังเป็นความจริงซึ่งเป็นประโยชน์กับทุกชีวิต

เพราะฉะนั้น พุทธบริษัท ควรที่จะได้คิดไตร่ตรองพิจารณาว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น ทรงแสดงว่าอย่างไร ซึ่งพระธรรมนี้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเห็นประโยชน์ ก็จะไม่ทรงแสดง แต่เนื่องจากว่าทรงเห็นประโยชน์ว่ามีผู้ที่ได้อบรมเจริญบารมีมาแล้ว สามารถที่จะฟัง พิจารณาและอบรมเจริญปัญญา จึงทรงแสดง ซึ่งเป็นการแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่สัตว์โลกไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำจริงแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง

จะเห็นได้ว่าแต่ละบุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ หลายคนก็สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติมีความสุขในชีวิต บางคนอาจจะคิดว่าพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกในชีวิต เพราะได้รับความสำเร็จทุกอย่าง แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม ผู้นั้น ชื่อว่า ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นก็หมายความว่ายังไม่เข้าใจธรรม ด้วย ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ต้องศึกษา ต้องฟัง ถึงแม้ว่าจะยาก ก็จะต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ดีกว่าปล่อยให้เป็นสิ่งที่ยากไปเรื่อยๆ โดยไม่ฟัง เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นประโยชน์ของปัญญาอันเนื่องมาจากได้อาศัยคำจริงทุกคำของของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต เพราะเหตุว่าที่พึ่งที่แท้จริงในชีวิตไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง เพราะทรัพย์สินเงินทอง ไม่ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ แต่ปัญญา สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ และ ปัญญาจะเจริญขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

จึงควรอย่างยิ่งที่พุทธบริษัทจะเคารพบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ อบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ เข้าใจคำของพระองค์ ซึ่งลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถเข้าได้สำหรับผู้ที่เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ อดทน จริงใจที่จะฟังที่จะศึกษาค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน.

 


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 14 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ