ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
คำว่าเห็นธรรม ในที่นี้ เห็นคือ รู้ด้วยปัญญา ธรรม คือโลกุตรธรรม ๙
โปรดอ่านข้อความจากอรรถกถาโดยตรง
เชิญคลิกอ่านที่นี่
ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา [วักกลิสูตร] เมื่อไม่เห็นธรรม ก็ไม่เห็นเราตถาคต [อรรถกถาสังฆาฏิสูตร]
คำว่าเห็นธรรม คือมีดวงตาเห็นธรรม ได้แก่ มรรคผล นิพพาน ตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ ขอยกตัวอย่างจากพระไตรปิกฏค่ะ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ... ดวงตาเห็นธรรม [ปฐมตถาคตสูตร]
ความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ คุณธรรม เพราะสิ่งที่ปรากฎทางตาจริงๆ มีเพียงแค่สีเท่านั้น
การจะเห็นพระพุทธเจ้าต้องเห็นด้วยปัญญา ปัญญาก็มีหลายระดับ ปัญญาขั้นกรรม ผลของกรรม ชื่อว่าเห็นพระองค์หรือยัง ไม่แน่นอน เพราะสมัยที่ไม่มีพระพุทธเจ้า ก็มีการเชื่อผลของกรรม แต่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ คือสภาพธัมมะที่มีจริงในขณะนี้ว่าไม่ใช่ เรา จนอบรมปัญญาประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ดังนั้นบุคคลที่เข้าใจหนทางดับกิเลสคือ สติปัฏฐาน จนถึงการประจักษ์พระนิพพานจึงชื่อว่าเห็นพระองค์ เพราะอะไร เพราะเห็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่พระองค์เห็น คือเห็นเป็นธัมมะไม่ใช่เรา และประจักษ์นิพพานครับ
ขอยกข้อความในพระไตรปิฎกเรื่องนี้ ลองอ่านดูนะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้าที่ 243
ข้อความบางตอนจาก อรรถกถามหาปชาบดีโคตมีเถรีคาถา
บทว่า ทิฏฺโ หิ เม โส ภควา ความว่า หม่อมฉันได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง พระองค์นั้น โดยประจักษ์ด้วยจักษุคือญาณโดยการเห็นโลกุตรธรรมที่พระองค์ทรงเห็นแล้ว. จริงอยู่ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่า เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นตถาคต ดังนี้เป็นต้น.
เห็นธรม คือ เห็นอริยสัจ ๔ เพราะธรรมทั้งหลายรวมลงในอริยสัจ ๔ เห็นว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ว่าเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ตามความเป็นจริง เห็นว่าทุกข์เกิดมาจากเหตุคือ สมุทัย เห็นความดับทุกข์คือ นิโรธ (เห็นว่าทุกข์จะดับสนิทด้วยการเข้าถึงนิพพาน) เห็นทางดับทุกข์ คือมรรค (อริยมรรค มีองค์ ๘) คือ เห็นจริงว่าหนทางนี้ คือทางดับทุกข์ได้จริง เมื่อเห็นอริยสัจ ๔ ก็จะมี ศรัทธาในธรรม ๔ ประการ ที่พระองค์ทรงรู้แจ้งเห็นจริง คือ
๑. กรรมศรัทธา คือ การมีความเชื่อในเรื่องของกรรมว่า บุคคลทำดีย่อมได้ดี ทำชั่ว ย่อมได้ชั่ว
๒. วิปากศรัทธา คือ การมีความเชื่อในเรื่องวิบากแห่งกรรมที่ปรากฏในปัจจุบันว่า สิ่งที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบันแก่ชีวิตของเรานั้น ล้วนแต่เป็นไปเพราะกรรม คือ การกระทำที่ เราได้กระทำไว้ทั้งสิ้น
๓. กัมมัสสกตาศรัทธา คือ การมีความเชื่อในเรื่องของการให้ผลของกรรมว่า บุคคลจะได้รับผลที่ดีหรือไม่ดีในชีวิตของเรา ล้วนแต่เป็นสิ่งที่แต่ละคนได้ทำเอาไว้เองทั้งสิ้น ทำให้กันไม่ได้ ทำแทนกันไม่ได้ เช่นว่า เมื่อต้องการให้เกิดวิบากที่ดีแก่ชีวิตของเรา ก็ต้องขวนขวายทำกรรมนั้นด้วยตนเอง เรียกง่ายๆ ว่า ทุกคนย่อมมีกรรมเป็นของๆ ตน มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นทายาท เป็นที่พึ่งพิงอาศัย บุคคลกระทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ย่อมต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นด้วยตนเอง และเมื่อปรารถนาสิ่งใดในชีวิต ก็พึงกระทำกรรมดีนั้นด้วยตนเอง
๔. ตถาคตโพธิศรัทธา คือ การเชื่อในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสแสดงไว้นั้น เป็นความจริงและเป็นสัจธรรมทุกประการ ความเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้อยู่ที่พระสรีกาย ถ้าไม่มีพระธรรม พระพุทธองค์ก็เป็นเพียง "เจ้าชายสิทธัตถะ" แต่เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ และ ทรงเผยแพร่พระธรรม นำผู้สั่งสมกุศลบารมีมาควรแก่มรรคผล ให้ได้รู้ตามและบรรลุ ตามเหตุปัจจัย ที่ได้สั่งสมมา เพราะฉะนั้น พระธรรมจึงบ่งบอกถึงความเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ และประกาศพระธรรมเพื่อให้ชาวโลก ได้รู้และได้เห็นพระธรรม นำตนออกจากทุกข์แห่งวัฏสงสารได้ตามพระพุทธองค์เพราะฉะนั้น ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
อยากทราบพระสูตร ที่กล่าวถึงว่า เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว จะไม่มีผู้ใดพบ เห็นตถาคตได้อีก (นอกจากพระธรรมที่ทรงตั้งไว้เป็นศาสดา และพระบรมสารีริกธาตุ ที่เหลืออยู่) เพราะว่า สมัยนี้มีคนนั่งสมาธิแล้วบอกว่าเห็นพระพุทธเจ้าเยอะมากเลย จึงอยากทราบว่า พระสูตรที่กล่าวยืนยันว่า ไม่สามารถพบเห็นท่านได้อีก คือพระ สูตรไหนน่ะค่ะ
ในเบื้องต้นควรทราบว่าผู้ที่เป็นพระอรหันต์ท่านดับกิเลส อันเป็นเหตุให้เกิดทั้งหมดแล้วเมื่อท่านจุติ (ดับขันธปรินิพพาน) ย่อมไม่ปรากฏ ไม่เกิดขึ้นในโลกไหนๆ อีกเลย เพราะท่านเป็นผู้ถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว สำหรับผู้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด ย่อมเข้าใจคำว่า อนุปาทิเสสนิพพาน คือ ปรินิพพานที่ไม่มีอะไรเหลือ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ...