[คำที่ ๓๙๕] กุสลกรณ

 
Sudhipong.U
วันที่  21 มี.ค. 2562
หมายเลข  32515
อ่าน  309

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “กุสลกรณ”

คำว่า กุสลกรณ เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง (อ่านตามภาษาบาลีว่า กุ - สะ - ละ - กะ - ระ – นะ) มาจากคำ ว่า กุสล (ความดี, กุศล) กับคำว่า กรณ (กระทำ) รวมกันเป็น กุสลกรณ แปลว่า กระทำกุศล, ทำความดี เป็นคำที่มีความหมายอย่างลึกซึ้ง เป็นเครื่องเตือนที่ดีอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน แสดงถึงขณะที่ได้ทำความดี ซึ่งก็คือขณะที่สภาพธรรมที่ดีงามเกิดขึ้นเป็นไป นั่นเอง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป โอกาสใดที่จะได้เจริญกุศล ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดๆ ก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะละเลยโอกาสนั้นไป เพราะโอกาสของการได้เจริญกุศลในชีวิตประจำวันนั้น เป็นโอกาสที่หายาก เทียบส่วนกันไม่ได้เลยกับขณะที่เป็นอกุศล ซึ่งในวันหนึ่งๆ อกุศลเกิดบ่อยมากเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าไม่มีโอกาสของกุศลได้เกิดขึ้นบ้างเลย นับวันอกุศลก็จะสะสมพอกพูนหนาแน่นทับถมขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไปอีก แต่ถ้ามีการเจริญกุศล ทำความดีประการต่างๆ ก็จะเป็นการค่อยๆ ขัดเกลาอกุศลอันเป็นสิ่งสกปรกในใจของตนออกไปได้ ตามข้อความใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ดังนี้ ว่า

“ดูกร พราหมณ์ ธรรมดาบัณฑิตทั้งหลาย ทำกุศลอยู่คราวละน้อยๆ ทุกๆ ขณะ ย่อมนำมลทิน คือ อกุศล ของตน ออกโดยลำดับทีเดียว”


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อุปการะเกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม เพราะเหตุว่า การขัดเกลากิเลสซึ่งเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ นั้น ไม่เหมือนกับการทำความสะอาดวัตถุสิ่งของ เพราะเหตุว่าการขัดเกลากิเลสที่แต่ละบุคคลได้สะสมมาอย่างมากและยาวนานในสังสารวัฏฏ์ ต้องอาศัยการเจริญกุศลบ่อยๆ เนืองๆ ทั้งในเรื่องของการให้ทานเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น การรักษาศีล เว้นในสิ่งที่เป็นโทษ กระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ การขวนขวายประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ตลอดจนถึงการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นความดีที่ประเสริฐยิ่ง เพราะเหตุว่า ในบรรดาธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป นั้น ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นสภาพธรรมที่ประเสริฐที่สุด

จึงเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีสำหรับทุกคน ว่า ไม่ควรที่จะประมาทในทุกขณะจิต เพราะเหตุว่าบางคนอาจจะคิดว่าตนเองได้ทำกุศลมากแล้ว แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ระยะเวลาที่กำลังทำกุศลนั้น เป็นเพราะศรัทธา (สภาพที่ผ่องใส) ก็ดี หิริ (ความละอายต่ออกุศล) ก็ดี โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่ออกุศล) ก็ดี เป็นต้น ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดีทั้งหมด ยังไม่เสื่อม ยังไม่หายไป แต่ว่าไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสของอกุศลเลย เพราะเหตุว่าโอกาสของอกุศลที่จะเกิดขึ้น มีมากเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าเมื่อใดที่ศรัทธา เป็นต้น เสื่อมหายไป ไม่เกิดขึ้น ความไม่มีศรัทธา ซึ่งเป็นอกุศล ย่อมกลุ้มรุมจิตใจ เมื่อนั้นอกุศลย่อมเกิดขึ้น ซึ่งเป็นชีวิตประจำวันที่ทุกคนจะสังเกตเห็นได้ ขณะใดที่อกุศลเกิด สังเกตเห็นความไม่มีศรัทธา ไม่มีความละอาย ไม่มีความเกรงกลัวต่ออกุศล ได้เลย ในทางตรงกันข้ามขณะที่เป็นกุศล ก็ย่อมมีธรรมฝ่ายดีเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ตามความเป็นจริงของธรรมซึ่งใครๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ เป็นโอกาสที่ประเสริฐที่จะสามารถบำเพ็ญความดีหรือทำกุศลได้ทุกโอกาสและไม่ควรประมาทแม้ความดีเพียงเล็กน้อยด้วย เพราะเหตุว่าขณะใดก็ตามที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศลและก็ไม่ใช่ขณะเดียวด้วย ยังเพิ่มขึ้นๆ แต่ละขณะมากมายมหาศาล เมื่อมีกิเลสมากมายอย่างนี้ อยากจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมหรือว่าอยากจะมีสิ่งที่เป็นโลกธรรมฝ่ายดี คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เกิดขึ้น โดยที่อกุศลยังเต็มอยู่ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าถ้าอกุศลกรรมได้กระทำแล้วก็จะเป็นปัจจัยให้ทุกอย่างที่รู้ได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจทั้งหมด ดังนั้น ตราบใดที่ร่างกายนี้ยังไม่เน่าเปื่อย กล่าวคือ ยังไม่ละจากโลกนี้ไป ควรที่จะเห็นประโยชน์ของการเป็นมนุษย์ เพราะเหตุว่ามนุษย์สามารถที่จะทำกุศล ทำความดีได้ทุกประการ และที่สำคัญ ต้องเข้าใจธรรมด้วย เพราะว่าหลายคนเกิดมาก็เป็นคนดี ตามการสะสม แต่เป็นคนที่ไม่สามารถที่จะรู้จักธรรมตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้น เมื่อมีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นธรรม ก็ควรอย่างยิ่งที่จะรู้ เพราะความรู้ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่เสียหายเลย การฟังพระธรรมแต่ละครั้งทำให้มีความเข้าใจถูกความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป

สำหรับการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสตามลำดับขั้น นั้น ย่อมเป็นที่ทราบได้ว่า ไม่ใช่เพียงการอบรมเจริญปัญญาเพียงชาติเดียว สองชาติ สามชาติ และในแต่ละชาติก็สั้นมาก การที่แต่ละบุคคลที่ได้เกิดมาในชาตินี้ จะมีชื่อเสียง มีลาภ มียศถาบรรดาศักดิ์ มีมิตรสหาย มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ถ้าพิจารณาแล้วก็จะเห็นได้ว่า ขณะที่เป็นอกุศลมากกว่าขณะที่เป็นกุศล ถ้าชาตินี้หมดไป คือ ผ่านไป ซึ่งก็จะต้องหมดไปอย่างแน่นอน ผ่านไปโดยไม่มีสิ่งใดเหลือในความเป็นบุคคลนี้อีก จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้ และเมื่อเกิดชาติหน้าสามารถจะระลึกได้ ก็อาจจะรู้สึกเสียดายว่า ชาตินี้ทำกุศลน้อยไป ฟังพระธรรมน้อยไป หรือว่าเสียเวลาให้กับสิ่งที่ไม่มีสาระเป็นอย่างมาก แต่ในขณะนี้กำลังเป็นชาตินี้อยู่ เมื่อได้กล่าวถึงกิเลสที่มากมายที่สะสมมาในอดีตนานแสนนานจนมาถึงขณะนี้ ก็เป็นที่แน่นอนที่จะเห็นชัดว่า เป็นสิ่งที่ละยาก ดับยากเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าสะสมมามากและยาวนานในสังสารวัฏฏ์ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อย้ำเตือนให้ได้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่า เมื่อกิเลสมีมาก การที่จะละกิเลสจึงเป็นเรื่องที่จะต้องทำกุศลและอบรมเจริญปัญญาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานทีเดียว

เพราฉะนั้นแล้ว โอกาสของชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าจะละจากโลกนี้ไปเมื่อใด ก็ควรที่จะเป็นไปเพื่อการสะสมกุศล ทำความดีและอบรมเจริญปัญญา ในท่ามกลางคลื่นของอกุศลธรรมซึ่งมีมากเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน และที่ไม่ควรลืม คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เมื่อไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ให้เวลากับสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ที่หาได้ยากอย่างยิ่ง คือ พระธรรมแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 14 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ