[คำที่ ๓๙๖] สมฺมาสมฺพุทฺธสาสน
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สมฺมาสมฺพุทฺธสาสน”
คำว่า สมฺมาสมฺพุทฺธสาสน เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า สำ - มา - สำ - บุด – ดะ - สา - สะ - นะ] มาจากคำสองคำรวมกัน คือ คำว่า สมฺมาสมฺพุทฺธ (พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุด ทรงตรัสรู้ธรรมแล้วทรงมีพระมหากรุณาแสดงธรรมเกื้อกูลแก่สัตว์โลก) กับคำว่า สาสน (คำสอน) รวมกันเป็น สมฺมาสมฺพุทฺธสาสน หมายถึง คำสอน หรือ พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ แต่ละคำ เป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูล ทำให้ผู้ฟัง ผู้ศึกษาได้รับประโยชน์ตามกำลังปัญญาของแต่ละคน ซึ่งมีบุคคลผู้ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งที่เป็นมนุษย์ เทวดารวมถึงพรหมบุคคล ด้วย ดังตัวอย่างของพระอริยบุคคลผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมท่านหนึ่ง คือ ท่านพระอุบาลีเถระ (พระอรหันต์ผู้เลิศในด้านทรงพระวินัย) ซึ่งท่านได้กล่าวพรรณนาคุณของพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้ว่า
“ชายผู้กล้าหาญ ถูกยาเบื่อ เขาจะเสาะแสวงหายาขนานศักดิ์สิทธิ์ ที่จะแก้ยาเบื่อ รักษาชีวิตไว้ เมื่อแสวงหา ก็จะพบยาขนานศักดิ์สิทธิ์ที่แก้ยาเบื่อได้ ครั้นดื่มยานั้นแล้ว ก็จะสบาย เพราะรอดพ้นไปจากพิษยาเบื่อ ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นเหมือนนรชนผู้ถูกยาเบื่อ ถูกอวิชชาบีบคั้นแล้ว ต้องแสวงหายาขนานศักดิ์สิทธิ์ คือ พระสัทธรรม เมื่อแสวงหายาขนานศักดิ์สิทธิ์ คือ พระธรรม ก็ได้พบคำสั่งสอนของพระศากยมุนี คำสั่งสอนนั้นล้ำเลิศกว่าโอสถทุกอย่าง บรรเทาลูกศร (คือกิเลส) ทั้งมวลได้ ครั้นดื่มธรรมโอสถที่ถอนพิษทุกอย่างได้แล้ว ข้าพระองค์ก็สัมผัสพระนิพพาน ที่ไม่แก่ ไม่ตาย มีภาวะเยือกเย็น”
(ปรมัตถทีปนี อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา อุบาลีเถรคาถา)
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ เมื่อเป็นความจริง ก็ย่อมจะพิสูจน์ได้ทุกกาลสมัย ธรรมเป็นความจริงที่จะไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่ทรงแสดงความจริงเป็นอย่างไร ก่อนหน้านั้นหรือว่าต่อไปในภายหน้าอีกนานแสนนาน ความจริงนี้ก็ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น นี้คือความหมายของธรรม คือ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ทรงไว้ซึ่งความเป็นจริงอย่างนั้น ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ และผู้ที่ทรงแสดงสภาพธรรมได้โดยละเอียด โดยประการทั้งปวง ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ด้วยพระหฤทัยที่ประกอบด้วยพระมหากรุณาที่มีต่อสัตว์โลก ให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก พ้นจากกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง มีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมากมาย นับไม่ถ้วน ในยุคนี้สมัยนี้ พระพุทธศาสนาคือพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังดำรงอยู่ ยังไม่ลบเลือนเสื่อมสูญไป พร้อมที่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เห็นคุณค่า ที่จะฟัง ที่จะศึกษาด้วยความเคารพละเอียดรอบคอบ
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เพื่อความเข้าใจในสิ่งที่มีจริงว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยแล้วดับไป ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน มีแต่สภาพธรรม คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) เท่านั้น ทั้งหมดนั้นเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ควรรู้ควรเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ไม่จำกัดว่าจะเป็นเมื่อใด แต่จะรู้ได้ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
ความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงทำให้หลงยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน กิเลสทั้งหลาย มีความไม่รู้และความติดข้องยินดีพอใจ เป็นต้น เป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์มากมายในสังสารวัฏฏ์ หนทางที่จะขัดเกลาละคลายความไม่รู้ ตลอดจนถึงกิเลสประการอื่นๆ ก็คือ การศึกษาพระธรรม ซึ่งจะต้องสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ตั้งแต่ในขั้นการฟัง จนกว่าจะรู้จนกว่าจะประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริง บุคคลผู้ที่อบรมเจริญปัญญา เมื่อมีความเข้าใจมากขึ้น ย่อมจะเห็นโทษของอกุศล ทำให้อกุศลลดน้อยลงตามกำลังของปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น
ถ้าไม่มีพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็อยู่กันด้วยความไม่รู้ มีแต่ความมืดมิด เพราะฉะนั้น ชีวิตมีค่าที่สุดเมื่อได้เข้าใจพระธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนชีวิตที่ไม่ได้เข้าใจพระธรรมมีแต่จะทำทุจริตต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนแล้วก็ต่ำลงไปในทางทุจริตในทางอกุศลไปเรื่อยๆ เพราะความไม่รู้ซึ่งเป็นต้นตอของความไม่ดีทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรจะฉุดทุกคนขึ้นจากความไม่รู้และอกุศลธรรมทั้งหลายได้ ก็มีทางเดียวคือการมีโอกาสได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ว่าใครสามารถจะเป็นคนดีหรือขัดเกลากิเลสเองได้ เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น จึงต้องได้อาศัยคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง แล้วก็ทรงแสดงความจริงด้วยพระมหากรุณาว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถที่จะทำให้คนที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย เป็นผู้ที่เข้าใจความจริงขึ้นและปัญญานั้นก็จะเป็นสังขารขันธ์ค่อยๆ ปรุงแต่งให้ความคิด การกระทำในชีวิตประจำวัน เป็นไปในทางที่ถูกต้องดีงามทั้งหมด และที่สำคัญถ้าเห็นประโยชน์สูงสุดของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นผู้ตรงและจริงใจ แต่ละคนก็จะมีความมั่นคงไม่หวั่นไหวในการที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อไป เป็นประโยชน์ทั้งกับตนเองและผู้อื่น เพราะฉะนั้น การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย จึงเป็นขณะที่มีค่าที่สุดในชีวิต เป็นที่พึ่งทั้งในชาตินี้และสะสมเป็นที่พึ่งที่ต่อไปในภายหน้าด้วย เป็นประโยชน์เกื้อกูลโดยตลอด.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ