[คำที่ ๔o๓] ทิฏฺฐิวิปตฺติ
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “ทิฏฺฐิวิปตฺติ”
คำว่า ทิฏฺฐิวิปตฺติ เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า ทิด – ถิ - วิ - ปัด - ติ] มาจากคำว่า ทิฏฺฐิ (ความเห็น ซึ่งในที่นี้มุ่งหมายถึง ความเห็นผิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด) กับคำว่า วิปตฺติ (ความเสื่อม, ความวิบัติ) รวมกันเป็น ทิฏฐิวิปตฺติ หมายถึง ความเสื่อมเพราะความเห็นผิด หรือ ทิฏฐิวิบัติ เป็นการแสดงถึงความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมฝ่ายที่ไม่ดีอย่างหนึ่ง คือ ความเห็นผิด ความเห็นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ซึ่งเมื่อมีความเห็นผิดเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างผิดไปหมด กายก็ผิด วาจาก็ผิด ความประพฤติเป็นไป ผิด ทั้งหมด คล้อยตามความเห็นผิดที่เกิดขึ้น ย่อมมีแต่ความวิบัติหรือความเสื่อมเท่านั้น เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ หาความเจริญมิได้ และเป็นความเสื่อมมิใช่เฉพาะชาตินี้เท่านั้นยังสะสมสืบต่ออยู่ในจิตเป็นโทษในชาติต่อๆ ไปอีกด้วย
ข้อความในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต อยสูตร แสดงถึงความวิบัติเพราะมีความเห็นผิด ดังนี้คือ
“ทิฏฐิวิบัติ เป็นอย่างไร? คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนมิจฉาทิฎฐิ มีความเห็นวิปริต (ผิดจากคลองธรรม) ว่า (๑) ทานไม่มีผล (๒) การบูชาไม่มีผล (๓) สักการะที่นำมาเพื่อแขก ไม่มีผล (๔) วิบากของกรรมดีและชั่ว ไม่มี (๕) โลกนี้ ไม่มี (๖) โลกหน้า ไม่มี (๗) มารดาไม่มี (๘) บิดา ไม่มี (๙) สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ (สัตว์ผุดเกิด) ไม่มี (๑๐) สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้และปรโลกให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ย่อมไม่มีในโลก (คือ ไม่เชื่อในพระปัญญาคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า) นี่เรียกว่า ทิฏฐิวิบัติ”
ข้อความในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค แสดงถึงบุคคล ๓ จำพวกที่เป็นผู้มีทิฏฐิวิบัติ ดังนี้คือ “บุคคล ๓ จำพวกเหล่าไหน มีทิฏฐิวิบัติ คือ เดียรถีย์ ๑ สาวกเดียรถีย์ ๑ บุคคลผู้มีทิฏฐิผิด ๑ บุคคล ๓ จำพวกเหล่านั้น มีทิฏฐิวิบัติ.
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกคำ เป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก เกื้อกูลผู้ที่มากไปด้วยความไม่รู้ มากไปด้วยกิเลสให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ค่อยๆ รู้ขึ้น พ้นจากความไม่รู้และกิเลสทั้งหลายที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เกื้อกูลให้เข้าใจธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นธรรมประเภทใด พระธรรมก็แสดงให้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง แม้แต่ธรรม ที่เป็นอกุศล พระธรรมก็แสดงให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า เป็นอกุศล เป็นสภาพธรรมที่มีโทษ ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย และอกุศลที่มีโทษมาก เป็นความเสื่อมหรือความวิบัติอย่างมาก คือ ความเห็นผิดคลาดคลาดจากความเป็นจิรง สำหรับในเรื่องของความวิบัติ หรือ ความเสื่อม นั้น ก็เป็นสิ่งที่มีจริงที่พระองค์ทรงแสดงไว้ เป็นเครื่องเกื้อกูลที่ดีให้เห็นโทษเห็นภัยของสิ่งที่เป็นความวิบัติหรือความเสื่อมจริงๆ ตามความเป็นจริง
เมื่อกล่าวถึงความเสื่อมที่เห็นๆ กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมทรัพย์ เสื่อมญาติ เสื่อมยศ เสื่อมลาภ เป็นต้น เป็นผลของกรรมในอดีต ย่อมไม่เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ แต่ถ้ามีความเสื่อมเพราะอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว เป็นเหตุทำให้เกิดในอบายภูมิได้โดยที่ไม่มีใครทำให้เลย และความเสื่อมที่อันตรายที่สุด คือ ความเห็นผิดคลาดคลาดจากความเป็นจริง สามารถทำลายแม้กระทั่งที่ประเสริฐที่สุด คือ พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ความเห็นผิด หรือ มิจฉาทิฏฐิ นั้น เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอกุศลธรรม เพราะมีความเห็นผิดเกิดขึ้นเป็นไป จึงเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นบุคคลผู้มีความเห็นผิด เป็นผู้มีความเห็นที่ไม่ตรง มีความเห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของสภาพธรรม เมื่อเห็นผิดแล้ว ทุกอย่างก็ผิดไปหมด ความประพฤติเป็นไปทางกาย ทางวาจา และทางใจ ก็ย่อมผิดไปด้วย กล่าวได้ว่า คิดผิด พูดผิด ทำผิด ประพฤติปฏิบัติผิด คล้อยตามความเห็นที่ผิด ถ้าได้กระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ ก็จะเป็นเหตุให้ตนเองยิ่งตกต่ำมากยิ่งขึ้น คือ ตกไปสู่อบายภูมิ ยากที่ข้ามพ้นได้ ทั้งหมดล้วนสืบเนื่องมาจากความเห็นผิดทั้งนั้น ความเห็นผิด เป็นอกุศลธรรมที่อันตรายและมีโทษมากเป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่ความเห็นผิดเกิดขึ้น ย่อมเป็นผู้ที่เสื่อมแล้ว นั่นก็คือ เสื่อมจากปัญญา เสื่อมจากคุณความดีทั้งปวง เช่น ถ้าเห็นผิดว่าวิบากของกรรมดีและชั่ว ไม่มี ก็ลองคิดดูว่าถ้าเห็นผิดอย่างนี้แล้วจะเป็นอย่างไร? ก็ไม่ทำดีอย่างแน่นอน มีแต่ทำชั่วประการต่างๆ ไม่เห็นเลยว่าควรที่จะขัดเกลาอกุศลแม้เล็กๆ น้อยๆ หรือความคิดผิดแม้เล็กๆ น้อยๆ ที่มีต่อแต่ละบุคคลในชีวิตประจำวัน และยิ่งเป็นความเห็นผิดในข้อประพฤติปฏิบัติแล้ว ก็ยิ่งพอกพูนความติดข้อง ความไม่รู้ และความเห็นผิดให้มากยิ่งขึ้น จนยากที่จะแก้ไขได้ ไม่ยอมสละความเห็นผิด อีกทั้งยังอาศัยความเห็นผิดนี้ ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย มีการเผยแพร่ความเห็นผิดแก่ผู้อื่น นี้คือ ความเห็นผิด ซึ่งเป็นวิบัติหรือความเสื่อมอย่างยิ่ง มีโทษมากเป็นอย่างยิ่ง ทำลายทั้งตนเองและทำลายบุคคลอื่นทำให้บุคคลอื่นออกจากพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยความละเอียดรอบคอบ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก เท่านั้น ที่จะเป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายความเห็นที่ผิดได้ในที่สุด แต่ละคนไม่สามารถที่จะทราบได้เลยว่าเวลาที่เราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ จะเหลืออยู่อีกเท่าใด เพราะฉะนั้นแล้ว เวลาที่เหลืออยู่นี้จึงเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดในการที่จะทำให้ตนเองมีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ด้วยการไม่ขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพราะขณะที่เข้าใจ ปัญญาเกิด ก็คุ้มครองไม่ให้เกิดความเห็นผิดแล้ว และในขณะนั้นอกุศลทั้งหลายก็เกิดไม่ได้ด้วย ก็ได้สะสมปัญญาเป็นที่พึ่งต่อไป ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะเป็นไปเพื่อการดับกิเลสทั้งหลาย มี ความไม่รู้ ความติดข้อง และ ความเห็นผิด เป็นต้น ซึ่งจะทำให้พ้นจากความวิบัติเพราะอกุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวง ได้ในที่สุด.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ