[คำที่ ๔o๘] ทุติยา
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “ทุติยา”
คำว่า ทุติยา เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า ทุ - ติ - ยา] แปลว่า เพื่อนสอง ในที่นี้จะนำเสนอในความหมายว่า เพื่อนสองที่ดีงาม กล่าวคือ ศรัทธา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส เมื่อเกิดขึ้นก็ย่อมทำให้จิตและเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ผ่องใส ไม่เป็นไปในทางอกุศล เพราะมีศรัทธา กุศลธรรมทั้งหลายจึงเจริญขึ้นรวมถึงปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ด้วย และเมื่อกุศลให้ผล ก็ให้ผลเป็นผลที่ดี น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจเท่านั้น
ข้อความในสารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย สคาถวรรค สัทธาสูตร แสดงความเป็นจริงของศรัทธา ว่า เป็นเพื่อนสองของคน ดังนี้ คือ
“ศรัทธาเป็นเพื่อนสองของคน คือได้แก่ เมื่อคนไปสู่เทวโลก และพระนิพพาน ศรัทธาย่อมเป็นเพื่อนสอง คือ ย่อมยังกิจของสหายให้สำเร็จ”
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง ซึ่งมีเป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่จะได้ยินได้ฟังคำจริง ที่เป็นวาจาสัจจะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อันเกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ ที่ใครๆ ก็ไม่สามารถคัดค้านหรือเปลี่ยนแปลงได้เลย เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ละคำที่พระองค์ตรัส ไม่ว่าจะปรากฏในส่วนใดของพระธรรมคำสอน ก็เป็นไปเพื่อปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก โดยตลอด ความเข้าใจพระธรรมนี้เอง เป็นประโยชน์ เป็นสิ่งที่มีค่า ใครๆ ก็แย่งชิงไปไม่ได้ เก็บรักษาอย่างดีไว้ในจิต สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า
ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ แล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้น เจริญขึ้นได้ ก็ต้องได้ฟังพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่สัตว์โลกจะได้ยินได้ฟังความจริง ไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้เลย แต่เพราะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงแสดงพระธรรม จึงทำให้สัตว์โลกที่สะสมเหตุที่ดีมามีโอกาสได้ฟังคำจริงที่พระองค์ทรงแสดง มีการอบรมเจริญปัญญา ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ตามกำลังปัญญาของตนเอง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่า ธรรม เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แม้แต่ศรัทธาก็เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ศรัทธาเกิดเมื่อใด อกุศลธรรมทั้งหลายเกิดไม่ได้เลย การศึกษาพระธรรมประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ว่าจะกล่าวถึงคำอะไร ก็ไม่พ้นไปจากเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ เลย
ศรัทธา ตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั้น เป็นสภาพธรรมฝ่ายดี (โสภณธรรม) เป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เป็นไปในคุณความดีทั้งหมด ศรัทธาจะไม่เกิดร่วมกับอกุศลธรรมเลย ศรัทธาจะเพิ่มขึ้นได้ก็ด้วยความเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ละคลายความเห็นผิด ละคลายความสงสัย และละคลายกิเลสประการอื่นๆ ศรัทธาก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น คล้อยตามความเข้าใจที่เจริญขึ้น ที่สำคัญคือไม่ขาดการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นผู้มีศรัทธาที่จะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใครและคำแต่ละคำเป็นประโยชน์อย่างไร คำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประโยชน์ คือ ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้นตามความเป็นจริงได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ในขณะที่ฟังพระธรรม นั้น มีศรัทธา เป็นสภาพธรรมที่สะอาด ไม่มีโลภะ ที่จะไปต้องการผลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีโทสะ ความโกรธความขุ่นเคืองใจ ไม่มีมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด แต่รู้ประโยชน์ที่ว่า คำใดที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจถูกต้อง ก็ต้องเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะแต่ละคำ เกิดจากพระคุณอันประเสริฐยิ่งของพระองค์ ซึ่งเป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลโดยตลอด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ศรัทธา เป็นเพื่อนสองของคน หมายถึง เป็นเพื่อนของผู้ที่จะไปสู่สวรรค์และนิพพาน เพราะเหตุว่า เมื่อบุคคลประกอบด้วยศรัทธาแล้ว ย่อมสามารถทำให้ได้รับประโยชน์ทั้งในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้าคือเกิดในภพภูมิที่ดี (มีสวรรค์ และมนุษย์ภูมิ) และได้รับสิ่งที่ดี ที่น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ อันเป็นผลของกุศล และทำให้ได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง คือการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ดับกิเลสตามลำดับขั้น เนื่องจากว่าเพราะบุคคลมีศรัทธา จึงมีการเจริญกุศลประการต่างๆ มีการคบหากัลยาณมิตรผู้มีปัญญา มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไตร่ตรองพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เมื่อปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ เพราะอาศัยศรัทธา เป็นเบื้องต้น นั่นเอง ศรัทธา จึงเป็นสภาพธรรมที่เปรียบเสมือนเพื่อนที่ดีงาม ที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลในทางที่เป็นประโยชน์ นำมาซึ่งประโยชน์เท่านั้น นำมาซึ่งประโยชน์ทั้งในโลกนี้ ในโลกน้า และอุปการะเกื้อกูลให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้นได้
เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมก็จะมีความมั่นคงที่จะรู้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ใช่ลาภ ซึ่งเสื่อมได้ ไม่ใช่ยศซึ่งเสื่อมได้ ไม่ใช่สรรเสริญ ซึ่งเสื่อมได้ได้ ไม่ใช่สุข ซึ่งหมดไปได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประจำโลกที่ทุกคนก็ได้รู้ได้เห็นด้วยตัวเอง เป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประเสริฐกว่านั้น ก็คือ การที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรม และได้สมกับเป็นชาวพุทธผู้นับถือพระพุทธศาสนา คือ นับถือคำสอนของผู้ทรงตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นชาวพุทธเพียงชื่อเท่านั้น แต่ไม่ได้มีความเข้าใจความจริงอะไรเลย อย่างนี้ก็ไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะชาวพุทธ ต้องมีความเข้าใจพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ประการที่สำคัญ พระธรรมไม่ใช่เรื่องฟังแค่วันเดียว สองวัน หรือ สามวัน แต่เป็นเรื่องที่จะต้องฟังไปตลอดชีวิต และชาตินี้ก็ยังไม่พอ เนื่องจากสะสมความไม่รู้และกิเลสทั้งหลายมาอย่างมากมายในสังสารวัฏฏ์ ก็ต้องสะสมปัญญาเป็นกาลเวลาที่ยาวนานเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความเป็นผู้อดทนและจริงใจ ถ้าเห็นประโยชน์ของพระธรรมแล้ว ก็จะรู้ได้เลยว่า ชีวิต ขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมไม่ได้.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ