[คำที่ ๔๑๙] อุชุกตา
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อุชุกตา”
คำว่า อุชุกตา เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า อุ - ชุ - กะ – ตา] มาจากคำว่า อุชุก (ผู้ตรง) กับคำว่า ตา (ความเป็น) รวมกันเป็น อุชุกตา แปลว่า ความเป็นผู้ตรง หมายถึง เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมฝ่ายดี เมื่อธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้น ย่อมตรง ไม่เป็นไปทางฝ่ายอกุศลโดยประการใดๆ เลย เมื่อกล่าวถึงความเป็นจริงของธรรม แล้ว ก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แม้แต่ความเป็นผู้ตรง ก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมฝ่ายที่เป็นนามธรรม คือ จิต และ เจตสิกธรรม ที่เกิดร่วมด้วย ซึ่งตรงต่อความดี ตามข้อความในอัฏฐสาลินี อรรถกถา พระอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณีปกรณ์ ว่า
ภาวะแห่งขันธ์ ๓ (เวทนาขันธ์,สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์) อันตรง และ วิญญาณขันธ์ (จิต) อันตรง เรียกว่า อุชุกตา.
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกคำ เกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ เป็นคำที่มีค่าอย่างยิ่ง เป็นไปเพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยส่วนเดียว ไม่มีโทษเลยจากคำจริงที่พระองค์ทรงแสดง และผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรม นั้น ต้องเป็นผู้มีความตรงจริงใจที่จะฟัง ที่จะศึกษา ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อขัดเกลาความไม่รู้ของตนเองที่สะสมมาอย่างมากและยาวนานในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งถ้าไม่เริ่มฟังพระธรรมตั้งแต่ในขณะนี้ ก็ชื่อว่า ยังไม่เริ่มที่จะขัดเกลาความไม่รู้ นั่นหมายความว่า จะเป็นผู้ไม่รู้ต่อไปเรื่อยๆ สะสมความไม่รู้เพิ่มมากขึ้นต่อไป ไม่พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏฏ์
ความเป็นผู้ตรง จริงใจ ย่อมเป็นสภาพธรรมที่อุปการะส่งเสริมเกื้อหนุนให้กุศลธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นและเจริญขึ้น เพราะว่าตรงต่อการที่จะขัดเกลากิเลสของตนเอง ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด แล้วเกิดระลึกขึ้นได้ว่า ควรที่จะเป็นผู้มีความจริงใจต่อการเจริญกุศล อย่างนี้ ก็จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้กุศลเกิดขึ้นได้ หรือว่า ในขณะที่อกุศลกำลังเกิด ไม่เป็นผู้ที่จริงใจที่จะละคลายอกุศล ขณะนั้นก็เป็นโอกาสให้อกุศลเกิดขึ้น แต่ว่าขณะที่อกุศลเกิดแล้ว เป็นผู้ที่จริงใจต่อการที่จะละคลายอกุศล ขณะนั้น กุศล ก็เกิดขึ้นต่อไปได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ความจริงแล้วทรงแสดงความจริงตลอด ๔๕ พรรษาเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก เป็นมรดกที่ลํ้าค่าที่พระองค์ทรงมอบให้แก่สัตว์โลก แม้ว่าพระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว แต่พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็นศาสดาแทนพระองค์ และพระธรรมก็ได้ดำรงสืบต่อมาจนกระทั่งถึงยุคนี้สมัยนี้ เป็นที่น่าพิจารณาว่าใครจะให้ทรัพย์สินเงินทองสักเท่าไหร่ ก็หมดไป จะจากโลกนี้ไปได้ทุกขณะ โดยที่ไม่สามารถทราบได้ว่าจะเป็นเมื่อใด และทรัพย์สมบัติที่ว่ามีจะมากหรือน้อย ก็ไม่สามารถที่จะติดตามไปได้ แต่ความเข้าใจถูกที่ได้เริ่มต้นแม้เพียงเล็กน้อยจากการได้อาศัยคําจริงแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะทำให้ไม่เข้าใจผิด และยิ่งจะสะสมมีกำลังมากขึ้น ก็ทำให้มีความมั่นคงในความเป็นจริงของธรรมยิ่งขึ้น ทำให้รู้เลยว่าความจริงมีอยู่ทุกขณะและไม่ได้มีความเข้าใจมาก่อนเลยจนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพ ละเอียด รอบคอบพิจารณาไตร่ตรองตามพระธรรมที่ได้ฟัง ไม่ใช่ว่าพระองค์จะนำพระปัญญาของพระองค์ไปให้ใครได้ แต่ด้วยพระมหากรุณาที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาประกอบด้วยพระญาณที่สามารถที่จะทำให้ทุกคำของพระองค์เปิดเผยความจริงให้คนเริ่มเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง จึงต้องฟังแล้วฟังอีกบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย
การศึกษาพระธรรม การศึกษาพระธรรม ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย ไม่ใช่เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ว่าเพื่อให้เข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละความไม่รู้ ฟังพระธรรมเพราะรู้ว่ามีความไม่รู้และกิเลสมากมาย กิเลสมากมายอย่างนี้ จะเก็บไว้ทำไม ไม่ควรเก็บไว้ ควรที่จะได้หาทางขัดเกลาละคลาย ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่ตรง ที่จะเห็นโทษของอกุศล และเห็นประโยชน์ของกุศล เพราะฉะนั้น ต้องมาจากความรู้ถ้าเป็นกุศล สำหรับอกุศลแล้ว มาจากความไม่รู้ เพราะไม่รู้จึงเป็นทุกข์มากมาย เป็นทุกข์เพราะโลภะบ้าง เป็นทุกข์เพราะโทสะบ้าง เป็นทุกข์ในสารพัดเรื่อง เพราะความไม่รู้ แต่ถ้าเป็นปัญญา ไม่มีทางที่จะนำมาซึ่งความทุกข์ความเดือดร้อนใดๆ เลย
บุคคลผู้ที่เป็นชาวพุทธ ที่กล่าวว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถ้าเป็นผู้ตรง จริงใจ ก็จะต้องศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อรู้ว่าพระปัญญาคุณนั้นทรงตรัสรู้อะไร เพราะทุกคนรู้ว่า ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่เกิดมาในวงศ์ศากยะ แต่ต้องเป็นพระปัญญาคุณ เพราะเหตุว่าตอนที่พระองค์ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ นั้น ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่เมื่อทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมแล้ว ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงพระนามนี้ได้เลย เพราะเป็นพระคุณนาม ด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ เหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาล แม้แต่เทวดาก็ยังมาเฝ้ามากราบทูลถามปัญหากับพระองค์เพื่อความเข้าใจพระธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดง แม้แต่พรหมบุคคลที่เกิดในภพภูมิที่สูงกว่าเทวดายังต้องมาเฝ้ากราบทูลถามปัญหากับพระองค์เช่นเดียวกัน นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครในจักรวาลใดๆ ทั้งสิ้นที่จะมีปัญญาเสมอเหมือนด้วยพระองค์ แล้วชาวพุทธ ได้ยินชื่อนี้ มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมซึ่งสืบทอดมาจนถึงยุคนี้สมัยนี้ ก็ควรที่จะได้ศึกษาโดยละเอียดด้วยความเคารพอย่างยิ่งในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ศึกษาแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดงให้เข้าใจจริงๆ เมื่อนั้น ก็จะชื่อว่า เป็นชาวพุทธที่แท้จริง สมกับชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ถ้าแต่ละคนในประเทศชาติมีคุณธรรม มีคุณความดี มีความเข้าใจพระธรรม ย่อมจะไม่มีปัญหาเลย ไม่เดือดร้อน มีแต่ความสงบสุข เพราะเป็นกุศล แต่ทั้งหมดที่เกิดความวุ่นวาย เกิดความไม่สงบ เป็นเพราะอกุศล อกุศลทั้งหลาย จะค่อยๆ ละลดลงไปได้อย่างไร ถ้าไม่มีปัญญา ก็ละไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็เป็นโอกาสที่มีค่ายิ่งที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้พระฟังธรรม ศึกษาพระธรรม ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อเป็นคนดียิ่งขึ้น มีปัญญาเป็นเครื่องนำทางชีวิตที่ดี นำไปสู่คุณความดี ทั้งปวง ตรงต่อการที่จะได้สะสมคุณความดี เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองต่อไป.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ