[คำที่ ๔๒๙] สตฺถา
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สตฺถา”
คำว่า สตฺถา เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า สัด - ถา] เขียนเป็นไทยได้ว่า สัตถา หมายถึง ผู้สอน ซึ่งในที่นี้จะขอนำเสนอในความหมายที่มุ่งหมายถึง ผู้สอนอย่างสูงสุด โดยไม่มีใครเสมอเสมือน ทรงเป็นพระบรมศาสดา ทั้งของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบารมีคุณความดีทั้งหมดที่พระองค์ได้สะสมอบรมมาก็เพื่อทรงตรัสรู้ความจริง และเมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้วทรงมีพระมหากรุณาแสดงความจริงเกื้อกูลแก่สัตว์โลกให้เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเอง ซึ่งมีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง มากมายนับไม่ถ้วน
ข้อความในสมันตปาสาทิกา อรรถกาพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ แสดงความหมายของคำว่า สตฺถา ไว้ดังนี้ ว่า
“พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระนามว่า สัตถา (เป็นพระศาสดา) เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ทรงสอนสรรพสัตว์ ด้วยประโยชน์ในปัจจุบัน ด้วยประโยชน์ในภายหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง ตามสมควร. อีกอย่างหนึ่ง ก็ในบทว่า สตฺถา นี้ พึงทราบใจความตามนัยที่อธิบาย มีดังนี้ ว่า คำว่า สตฺถา ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นดุจนายพวก เหมือนอย่างว่า นายพวก ย่อมพาพวกให้เวียนข้ามทางกันดาร คือให้เวียนข้ามทางกันดาร (ที่ลำบาก,ข้ามได้ยาก) เพราะโจร กันดารเพราะสัตว์ร้าย กันดารเพราะข้าวแพง กันดารเพราะไม่มีน้ำ คือ ย่อมให้ข้ามพ้น ให้ข้ามไป ให้ข้ามถึง ได้แก่ ให้บรรลุถึงถิ่นที่เกษม ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงเป็นพระศาสดา คือ ทรงเป็นดุจนายพวก เพราะทำเหล่าสัตว์ให้เวียนข้ามทางกันดาร ได้แก่ ให้เวียนข้ามทางกันดารคือชาติ (ความเกิด) เป็นต้น”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นผู้หมดจดจากกิเลส เป็นผู้พ้นจากกิเลสด้วยพระองค์เอง พระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลานานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่เพียงเพื่อตรัสรู้เฉพาะพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น แต่ทั้งหมดเพื่ออุปการะเกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงอย่างที่พระองค์ทรงเข้าใจ ทรงเห็นว่าสัตว์โลกมากไปด้วยกิเลสทั้งหลาย มีความติดข้อง ความไม่รู้ และความเห็นผิด เป็นต้น จึงทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาที่ไม่มีใครเสมอเหมือน ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้สัตว์โลกได้พ้นจากกิเลสตามพระองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ ทุกคำของพระองค์เป็นความจริงทุกกาลสมัย เพราะไม่ได้เกิดจากความคิด แต่ว่าเกิดจากการประจักษ์แจ้งสภาพธรรมจนหมดความสงสัยและความไม่รู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง
การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่ด้วยอย่างอื่น แต่จะรู้ได้ด้วยปัญญาที่เข้าใจพระธรรม ที่พระองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น แม้เมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่ทรงดับขันธปรินิพพาน ก็มีทางเดียวเช่นเดียวกัน คือ ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงสามารถรู้ได้ว่าบุคคลนี้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงแสดงสิ่งที่มีจริงที่ผู้อื่นไม่สามารถจะแสดงได้ ไม่สามารถตรึก นึก คิด ไตร่ตรองประมวลเองได้แม้แต่คนเดียว ไม่มีใครเลยที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากผู้ที่ได้อบรมเจริญบารมีมาอย่างสมบูรณ์ พร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใน ๒๕๐๐ กว่าปีนี้ ก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม และถอยกลับไปก่อนหน้านั้น ก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ และในกาลข้างหน้าก็จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปด้วย ถ้าไม่มีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัตว์โลกก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงได้เลย มืดสนิทด้วยความไม่รู้
บุคคลผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน คือ ผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นชาวพุทธ ควรที่จะได้คิดไตร่ตรองพิจารณาว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น ทรงแสดงว่าอย่างไร พระธรรมนี้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเห็นประโยชน์ ก็จะไม่ทรงแสดง แต่เนื่องจากว่าทรงเห็นประโยชน์ว่ามีผู้ที่ได้อบรมเจริญเหตุที่ดีมาแล้ว สามารถที่จะฟัง พิจารณาและอบรมเจริญปัญญาได้ จึงทรงแสดง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง และคำที่พระองค์ตรัส นั้น ไม่มีแม้แต่คำเดียวที่ให้โทษ เพราะมีแต่คำที่เป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นคำสอนของพระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดาก็ดำรงสืบทอดมาจนถึงสมัยปัจจุบันนี้ ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรม ต้องเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม เพราะการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทำให้ผู้ฟังได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน ทำให้เริ่มเห็นประโยชน์ของการฟัง และรู้ว่าเหตุที่จะทำให้ปัญญาเกิด ก็คือการฟัง ด้วยความตั้งใจ ด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะผู้ที่เป็นชาวพุทธ ต้องได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีตัวตนที่จะไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะให้ปัญญาเกิด ต้องฟัง ต้องศึกษา เท่านั้น สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ก็จะเห็นได้ว่า ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ เมื่อฟังบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ให้เวลากับสิ่งที่มีค่าที่สุดนี้ ความรู้ความเข้าใจถูก ก็ย่อมจะเจริญเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมในที่สุด
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงแต่งตั้งใครให้เป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่ก็ได้มีพระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ ที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลสำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง ข้อที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีสี่อสงไขยแสนกัปป์ เพื่อจะรู้ความจริง เพื่อคนอื่นจะได้เข้าใจความจริงตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ด้วย ไม่ได้ต้องการอย่างอื่นใดทั้งสิ้นจากพุทธบริษัทเลยแม้แต่น้อย พระองค์ทรงมอบมรดกที่ล้ำค่า คือ พระธรรม ด้วยการทรงจำแนกแจกแจงแสดงความจริงโดยละเอียด โดยประการต่างๆ ให้กับพุทธบริษัท แต่ผู้นั้นจะไม่ได้รับมรดกเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ดังนั้น ใครที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา จะกล่าวว่าเป็นชาวพุทธไม่ได้เลย ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะว่า ถ้าเป็นชาวพุทธหรือเป็นคนที่นับถือพระพุทธศาสนา ต้องตรงและจริงใจ นับถือ ก็ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนั้น สิ่งอื่นจะมีค่ายิ่งกว่าการได้รู้ความจริงได้อย่างไร ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ บริวาร ไม่สามารถที่จะนำติดตามไปได้เลย แต่ความเห็นถูกเป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเอาไปจากใจของผู้ที่เห็นถูกได้ เพราะเหตุว่า ฝังอยู่ในใจ ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในใจ เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต แม้ว่าขณะนี้จิตดับไป ก็สะสมอยู่ในจิตที่เกิดสืบต่อทุกขณะไป เป็นที่พึ่งต่อไป เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างแท้จริงสำหรับชีวิตที่เกิดมาแล้วได้ฟังได้ศึกษาสิ่งที่มีค่าที่สุด.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ