[คำที่ ๔๓o] ธมฺมกถา
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์
“ธมฺมกถา--ถ้อยคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง, ธรรมกถา”
คำว่า ธมฺมกถา เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า ดำ - มะ - กะ - ถา] มาจากคำว่า ธมฺม (สิ่งที่มีจริง, คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) กับคำว่า กถา (ถ้อยคำ,คำกล่าว) รวมกันเป็น ธมฺมกถา แปลว่า ถ้อยคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง หรือ แปลทับศัพท์เป็น ธรรมกถา แสดงถึงถ้อยคำหรือ ข้อความที่เป็นการประกาศคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นจะได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง เพราะมีการกล่าวหรือแสดงสิ่งที่มีจริง ผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว จึงมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง ดังตัวอย่างของบุคคลในสมัยครั้งพุทธกาล เมื่อได้ฟังธรรมกถาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล ไม่ได้ไปทำอะไรที่ผิดปกติที่ไหนเลย แต่ได้ฟังธรรมกถาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ดังนี้ว่า
นายสุมนะ เลี้ยงภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ได้รับบาตรเพื่อประโยชน์แก่การการทำอนุโมทนา พระศาสดาทรงเริ่มธรรมเทศนาเป็นเครื่องอนุโมทนาแล้ว. ฝ่ายนางขุชชุตตรา สดับธรรมกถาของพระศาสดาอยู่เทียว ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นคำจริง เป็นวาจาสัจจะ เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้ผู้ฟังผู้ศึกษาเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง เกิดจากการตรัสรู้ของพระองค์ ที่กว่าจะได้ตรัสรู้นั้นพระองค์ต้องบำเพ็ญพระบารมีสะสมคุณความดีประการต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่ยาวนานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์เมื่อครั้งที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ พระบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง ให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ตั้งแต่เริ่มประกาศพระศาสนาจนกระทั่งถึงเวลาที่พระองค์จวนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า พระธรรม มีค่ามาก ทำให้ผู้ได้ฟังได้ศึกษามีความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส จนกว่ากิเลสจะดับหมดสิ้น เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเท่านั้น
การที่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป ก็ต่อเมื่อมีผู้ศึกษามีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงแล้วกล่าวแสดงเปิดเผย เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น ซึ่งเป็นการกล่าวตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่คำของตนเอง และ ไม่ใช่การคิดเอาเองด้วย
สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นธรรม แต่เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม จึงต้องมีผู้กล่าวธรรม กล่าวถ้อยคำที่แสดงให้เข้าใจถูกต้อง ว่า นั่นเป็นธรรม ซึ่งก็คือ ธรรมกถา นั่นเอง เพราะไม่ได้พูดอย่างอื่น ไม่ได้พูดเรื่องตลกคะนอง แต่พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ให้บุคคลอื่นได้เข้าใจอย่างถูกต้อง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งกล่าว ยิ่งเปิดเผย ก็ยิ่งรุ่งเรือง จะเห็นได้ว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกปกปิดด้วยคำของบุคคลอื่นนานแสนนาน ถึงเวลาแล้วที่เมื่อมีใครก็ตามที่เข้าใจถูกต้อง ก็ช่วยกันแสดงความจริง เปิดเผยความจริง เพราะกว่าใครจะมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว นั้น เป็นโอกาสที่หายาก เพราะฉะนั้น ก็ต้องช่วยกันกล่าว แสดง เปิดเผยคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อพระธรรมจะได้รุ่งเรืองและกระจ่าง โดยไม่ต้องหวั่นเกรงอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของบุคคลอื่น
เมื่อมีบุคคลผู้กล่าวธรรมกถาหรือเปิดเผยธรรม จึงเป็นเหตุให้บุคคลผู้สะสมเหตุที่ดีมา มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นวาจาสัจจะ แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง แล้ว มีความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะเห็นพระคุณของพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงสภาพธรรมพร้อมด้วยเหตุและผลอย่างละเอียดแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายย่อมไม่สามารถพ้นไปจากความเห็นผิด และความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ได้ มืดสนิทด้วยความไม่รู้ ถ้าบุคคลใดไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ แต่คิดเอาเองว่าเข้าใจธรรมแล้ว ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ประมาทอย่างแท้จริง ประมาทในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมมีความเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนได้ แต่ว่าถ้าศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมบ่อยๆ เนือง ๆ ด้วยความเคารพ ละเอียดรอบคอบ พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผล ก็ย่อมมีความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคงในความเป็นจริงยิ่งขึ้น จากที่มากไปด้วยความไม่รู้ก็ค่อยๆ เข้าใจถูกเห็นถูกขึ้นได้ และถ้าได้ศึกษาต่อไป ด้วยความเป็นผู้เห็นค่าของสิ่งที่มีค่าที่สุด ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็จะเพิ่มขึ้น สะสมสืบต่ออยู่ในจิต เป็นที่พึ่งต่อไป
ถ้าหากไม่มีการกล่าวหรือเปิดเผยความจริงเลย การฟังในสิ่งที่มีจริงก็เกิดขึ้นไม่ได้ และกุศลธรรมที่จะเจริญขึ้นคล้อยตามปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นสืบเนื่องมาจากการฟังพระธรรม ก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น การกล่าวธรรมกถา การเปิดเผยความจริง จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ตามกำลังปัญญาของแต่ละคนอย่างแท้จริง เพราะการกล่าวธรรมกถา เป็นการแสดงสิ่งที่มีจริง เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ไม่ใช่กล่าวเรื่องอื่นที่ไม่มีประโยชน์
สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบให้เป็นมรดกที่ล้ำค่ากับพุทธบริษัท ก็คือ คำจริงทุกคำซึ่งเป็นพระธรรมวินัยที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนถ้าเห็นคุณอย่างนี้ บูชาคุณด้วยความเป็นผู้ตรง ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เปิดเผยคำสอนที่ถูกต้องเพื่อให้คนอื่นได้มีโอกาสได้รู้ได้เข้าใจถูก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในชาติต่อๆ ไป เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีใครกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วใครจะรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด การพูดความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง นั่นก็เป็นการที่จะดำรงรักษาพระพุทธศาสนา เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมทุกอย่าง ซึ่งเมื่อผู้ฟังได้ฟังแล้ว ถ้าคิดไตร่ตรอง และเป็นคนที่ตรง ก็จะเริ่มเข้าใจว่า อะไรถูก อะไรผิด และ เข้าใจว่าอะไรเป็นคำสอนที่ถูกต้อง เพราะทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ความหวังดี ที่จะได้เกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วสามารถทิ้งความเห็นที่ผิด แล้วน้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์ต่อไปได้ จึงถึงเวลาแล้วที่พุทธบริษัทจะได้เริ่มต้นฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เป็นชาวพุทธ ด้วยปัญญาที่เข้าใจในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่การไปทำอะไรตามๆ กันด้วยความไม่รู้.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ