[คำที่ ๔๓๕] วชฺชพหุล

 
Sudhipong.U
วันที่  26 ธ.ค. 2562
หมายเลข  32555
อ่าน  477

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “วชฺชพหุล

คำว่า วชฺชพหุล เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า วัด - ชะ - พะ - หุ - ละ] มาจากคำว่า วชฺช (สิ่งที่มีโทษ, สิ่งที่ควรเว้น) กับคำว่า พหุล (มาก) รวมกันเป็น วชฺชพหุล แปลว่า ผู้มากไปด้วยโทษ หรือ ผู้มีโทษมาก แสดงถึงความเป็นจริงของบุคคลผู้ยังมากไปด้วยโทษ คือ อกุศลธรรมทั้งหลาย แต่ก็ยังมีโอกาสที่กุศลหรือความดีประการต่างๆ จะเกิดขึ้นเป็นไปได้บ้าง เมื่อกล่าวถึงบุคคลผู้มากไปด้วยโทษแล้ว ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นชีวิตแต่ละบุคคลผู้ที่ยังมากไปด้วยอกุศลอยู่นั่นเอง พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง เป็นเครื่องเตือนให้เป็นผู้ไม่ประมาทในการสะสมความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การอบรมเจริญปัญญา ท่ามกลางอกุศลซึ่งมีมากเป็นอย่างยิ่ง

ข้อความในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต สาวัชชสูตร แสดงความเป็นจริงของบุคคลผู้มีโทษมาก ไว้ดังนี้ คือ “บุคคลมีโทษมาก เป็นอย่างไร? บุคคลบางคนในโลกนี้ ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันมีโทษ เป็นส่วนมาก ที่ไม่มีโทษ เป็นส่วนน้อย อย่างนี้แล บุคคลมีโทษมาก”


สิ่งที่มีจริง เป็นธรรม สิ่งที่มีจริง เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น จะเปลี่ยนสภาพธรรมอย่างหนึ่งให้เป็นอีกอย่างหนึ่งไม่ได้ เช่น เปลี่ยนเห็นให้เป็นอย่างอื่น ไม่ได้ เปลี่ยนความดีให้เป็นความชั่วไม่ได้ เปลี่ยนความชั่วให้เป็นความดี ไม่ได้ เป็นต้น นี้คือ ความเป็นจริง พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อนุเคราะห์เกื้อกูลให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง ว่า เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนในสภาพธรรมแต่ละหนึ่งๆ ไม่ได้เลย เพราะเป็นแต่เพียงธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปเท่านั้น สิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรม นั้น มีความหลากหลายมาก แต่เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว ธรรม มี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ นามธรรม (จิต สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์, เจตสิก สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต, พระนิพพาน สภาพธรรมที่ดับทุกข์ดับกิเลส ไม่เกิดไม่ดับ) และ รูปธรรม (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) สิ่งที่มีจริงเหล่านี้ ตรัสรู้โดยบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระบารมีที่พระองค์ได้สะสมอบรมมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เมื่อพระองค์ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ทรงมีพระมหากรุณาแสดงพระธรรมเกื้อกูลแก่สัตว์โลกเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ซึ่งจะต้องมีการใช้คำเพื่อให้ผู้ฟังรู้ว่าพระองค์ตรัสถึงสิ่งใด เพื่อความเข้าใจของผู้ฟังอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ซึ่งถ้ากล่าวถึงบุคคลผู้มีโทษมาก ก็ต้องมุ่งหมายถึง ว่า มีอกุศลธรรม เกิดขึ้นเป็นไปอย่างมาก อกุศลธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี ให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลยทั้งสิ้น อกุศลธรรมก็เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย กุศลธรรมที่เคยได้สะสมมา ก็เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น ความโกรธ ขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ เกิดแล้วตามเหตุปัจจัย ใครๆ ก็บังคับบัญชาไม่ได้ ทำร้ายตนเองแล้วในขณะที่โกรธ และ ถ้าความโกรธ มีกำลังมากขึ้น ก็อาจจะไปทำร้ายเบียดเบียนคนอื่นได้ ทั้งนี้เพราะเคยสะสมความโกรธมาแล้ว, เวลาโลภะเกิด ก็มีความติดข้องต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะกิจหน้าที่ของโลภะ คือ ติดข้องต้องการ ถ้าไม่ได้ในทางที่ชอบ บางคนก็แสวงหาในทางที่ผิด ตามความติดข้องต้องการ เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการ ก็เกิดโทสะ คือ ความไม่พอใจ ตามมาอีก แต่เมื่อได้มาตามที่ต้องการแล้ว ก็ต้องรักษาไว้อย่างดี กลัวสูญหาย ไม่อยากพลัดพรากไป เป็นเรื่องของอกุศลธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่มีโทษ โดยตลอด ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย โดยมีรากลึก คือ ความไม่รู้ เพราะเหตุว่า อกุศลธรรมทั้งหลาย เกิดเพราะความไม่รู้ ความประพฤติที่ไม่ดีประการต่างๆ เกิดเพราะความไม่รู้ แต่บุคคลผู้มีโทษมาก ก็ยังมีโอกาสที่คุณความดีประการต่างๆ จะเกิดขึ้นได้บ้าง ตามการสะสมของแต่ละบุคคล

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งที่จะเป็นเครื่องเกื้อกูลที่ดีที่สุดในชีวิต ก็คือ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ชีวิตของผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้อบรมเจริญปัญญา เห็นคุณค่าของพระธรรม ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ดับกิเลสอะไรๆ เลย ยังมีสภาพธรรมที่เป็นโทษ คือ อกุศลเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา แต่ก็มีปัญญาที่ค่อยๆ รู้ขึ้น เข้าใจขึ้นในความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ว่า เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป พร้อมทั้งเห็นโทษของอกุศลที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง แล้วมีความละอายมีความเกรงกลัวที่จะถอยกลับจากอกุศล ขัดเกลาให้เบาบางลง เพราะอกุศลของใคร ใครก็ขัดเกลาให้ไม่ได้ นอกจากอาศัยความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นจริงๆ เพราะถ้าไม่เริ่มขัดเขลา นับวันก็ยิ่งจะพอกพูนอกุศลมากยิ่งขึ้น

ถ้าเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็เป็นผู้ที่กำลังเริ่มต้นในการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ซึ่งหนทางที่จะเดินต่อไปอีกยาวไกลมาก เพราะความลึกซึ้งของธรรม นั่นเอง แต่ว่าถ้าไม่เริ่มเลย ก็จะไม่มีวันถึง เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีการเตรียมพร้อมตั้งแต่ในขณะนี้ด้วยการฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะมีปัญญาเกิดขึ้นเจริญขึ้นได้เลย เพราะฉะนั้น ถ้ามีการเริ่มต้นในหนทางที่ถูกต้องเท่าที่มีเหตุปัจจัยที่จะเป็นไปได้ ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะทำให้ได้สะสมความเห็นถูกเพิ่มขึ้น ชีวิตก็จะเป็นไปในทางที่ถูกที่ควร ค่อยๆ ขัดเกลาความเป็นผู้มีโทษมากไปทีเล็กทีละน้อย ที่สำคัญ คือ อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งประมาณค่ามิได้ ด้วยการตั้งใจฟังตั้งใจศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 26 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ