[คำที่ ๔๕๓] กุสลภาวนา

 
Sudhipong.U
วันที่  30 เม.ย. 2563
หมายเลข  32573
อ่าน  650

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “กุสลภาวนา”

คำว่า กุสลภาวนา เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง (อ่านตามภาษาบาลีว่า กุ - สะ - ละ - พา - วะ - นา) มาจากคำ ว่า กุสล (ความดี, กุศล) กับคำว่า ภาวนา (อบรมเจริญ,สะสมให้มีขึ้น ให้เจริญขึ้น) รวมกันเป็น กุสลภาวนา แปลว่า เจริญกุศล, ทำความดี เป็นคำที่มีความหมายอย่างลึกซึ้ง เป็นเครื่องเตือนที่ดีอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน แสดงถึงขณะที่ได้ทำความดี ซึ่งก็คือ ขณะที่สภาพธรรมที่ดีงามเกิดขึ้นเป็นไป นั่นเอง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป โอกาสใดที่จะได้เจริญกุศล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะละเลยโอกาสนั้นไป เพราะโอกาสของการได้เจริญกุศลในชีวิตประจำวันนั้น เป็นโอกาสที่หายาก เทียบส่วนกันไม่ได้เลยกับขณะที่เป็นอกุศลซึ่งในวันหนึ่งๆ อกุศลเกิดบ่อยมากเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าไม่มีโอกาสของกุศลได้เกิดขึ้นบ้างเลย นับวันอกุศลก็จะสะสมพอกพูนหนาแน่นทับถมขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไปอีก แต่ถ้ามีการเจริญกุศล ทำความดีประการต่างๆ ก็จะเป็นการค่อยๆ ขัดเกลาอกุศลซึ่งเป็นสิ่งสกปรกในจิตใจของตนเองออกไปได้ ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ดังนี้ ว่า

“ดูกร พราหมณ์ ธรรมดาบัณฑิตทั้งหลาย ทำกุศลอยู่คราวละน้อยๆ ทุกๆ ขณะ ย่อมนำมลทิน คือ อกุศล ของตน ออกโดยลำดับทีเดียว”


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ตลอด ๔๕ พรรษา เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม เพื่อขัดเกลากิเลส เพราะเหตุว่า การขัดเกลากิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ นั้น ไม่เหมือนกับการทำความสะอาดวัตถุสิ่งของ เพราะเหตุว่าการขัดเกลากิเลสที่แต่ละบุคคลได้สะสมมาอย่างมากและยาวนานในสังสารวัฏฏ์ ต้องอาศัยการเจริญกุศลประการต่างๆ บ่อยๆ เนืองๆ ทั้งในเรื่องของการให้ทานเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น การรักษาศีล เว้นในสิ่งที่เป็นโทษ กระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ขวนขวายประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ตลอดจนถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นความดีที่ประเสริฐยิ่ง เพราะเหตุว่า ในบรรดาธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นไป นั้น ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นสภาพธรรมที่ประเสริฐที่สุด

จะเห็นได้จริงๆ ว่า ตราบใดที่เป็นคนไม่ดี หมายความว่า มีแต่อกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ไม่ว่าจะประเภทใดๆ ก็ตาม โลภะ ความติดข้องยินดีพอใจ โทสะ ความโกรธความขุ่นเคืองใจ โมหะ ความหลงความไม่รู้ มีเป็นประจำอยู่แล้ว นอกจากนั้นก็ยังมีมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) อิสสา (ความริษยา ทนไม่ได้เมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีมีสุข) มัจฉริยะ (ความตระหนี่หวงแหน) มานะ (ความสำคัญตน ความถือตน) เป็นต้น ทั้งหมดที่เป็นอกุศลขณะใด ขณะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้เลย กลับเพิ่มขึ้นทับถมขึ้นยากต่อการที่จะรู้ความจริงได้ เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็เริ่มเห็นคุณของความดี ว่า ขณะที่ความดีเกิด นั้น ขณะนั้นอกุศลไม่เกิด แล้วก็ค่อยๆ เพิ่มพูนคุณความดีขึ้น ก็ย่อมสามารถที่จะเป็นทางให้ละความไม่รู้และความไม่ดีทั้งหลายได้ เพราะเหตุว่า ธรรมทั้งสองฝ่ายนี้เกิดพร้อมกันไม่ได้ กล่าวคือ อกุศลกับกุศลจะเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ การเห็นโทษเห็นภัยของอกุศล ก็เป็นเหตุให้กุศลเกิดและทำให้เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตประจำวันด้วย

การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พร้อมทั้งมีโอกาสได้พบพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะได้พบ เพราะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ ถ้าไม่ได้สะสมความดีมา ก็จะไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และถ้าไม่เคยเห็นประโยชน์ของพระธรรม ไม่เคยฟังพระธรรมในชาติก่อนๆ มาเลย ก็จะไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ได้ใส่ใจสนใจที่จะฟังพระธรรม การได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก เป็นสิ่งที่ได้อย่างยากแสนยากในสังสารวัฏฏ์ เมื่อเทียบกับการได้รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ซึ่งมีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน

ธรรมดาของปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมมีอกุศลเกิดขึ้นเป็นส่วนมาก แต่เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีความเข้าใจไปตามลำดับ ขณะที่ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก เกิดขึ้น ขณะนั้นกุศลจิตเกิด ก็สะสมความเห็นถูก สะสมกุศลธรรม สะสมสภาพธรรมฝ่ายดีมากขึ้น หมายความว่า ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีมากยิ่งขึ้นด้วยความเข้าใจพระธรรม สามารถเปลี่ยนจากบุคคลที่เป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ค่อยๆ เป็นปุถุชนผู้ดีงามด้วยกุศลธรรม ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก จนไปสู่ความเป็นพระอริยบุคคล ตามลำดับขั้นได้ ซึ่งก็เป็นธรรมฝ่ายดีนั่นเองที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน

เกิดมาแล้วต้องตายทุกคน ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลย ความตายจะมาถึงเมื่อใด ไม่มีใครทราบได้เลยจริงๆ ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ เด็กจะตายก่อนผู้ใหญ่หรือผู้ใหญ่จะตายก่อนเด็ก จะตายด้วยอุบัติเหตุ ด้วยโรคระบาดต่างๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

สิ่งใดๆ ก็ติดตามไปไม่ได้เลย ร่างกายรวมทั้งทรัพย์สินเงินทองทั้งหลายทั้งปวงก็ติดตามไปไม่ได้ เว้นแต่ความดีและความชั่วที่สะสมอยู่ในจิตจะติดตามไป ความดี เป็นสภาพธรรมที่มีประโยชน์ นำมาซึ่งผลที่ดี ส่วนความชั่วทั้งหลาย เป็นสภาพธรรมที่มีโทษ ไม่มีประโยชน์แก่ใครๆ เลยทั้งสิ้น และให้ผลที่เป็นทุกข์เท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสของชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าความตายจะเกิดขึ้นเมื่อใด ก็ควรที่จะเป็นไปเพื่อการเจริญกุศล อบรมเจริญปัญญา ในท่ามกลางของอกุศลธรรมซึ่งมีมากเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการทำกิจที่ควรทำ เป็นงานที่ประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่าปกติในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ก็มีงานเพิ่มกิเลสอยู่ตลอด สะสมแต่สิ่งที่ไม่ดีมากมาย แต่งานขัดเกลาละคลายกิเลส จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าหากว่าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และที่ลืมไม่ได้เลยคือปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เมื่อไม่ขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เมื่อเห็นว่าพระธรรมมีค่าที่สุด ประเสริฐที่สุด ก็จะเริ่มฟัง เริ่มศึกษา ซึ่งเมื่อฟังต่อไป ศึกษาต่อไป ความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด.

 

 


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 2 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ