[คำที่ ๔๕๘] มหารช

 
Sudhipong.U
วันที่  4 มิ.ย. 2563
หมายเลข  32578
อ่าน  520

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ มหารช

คำว่า มหารช เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า มะ - หา - ระ - ชะ] มาจากคำว่า มหา (มาก) กับคำว่า รช (ธุลี, สิ่งที่เปื้อน,สิ่งสกปรก__ในที่นี้จะขอนำเสนอในความหมายว่า ธุลีหรือสิ่งสกปรก คือ กิเลส) รวมกันเป็น มหารช แปลว่า มีธุลีคือกิเลสเป็นอย่างมาก, มีสิ่งที่เปื้อนคือกิเลส เป็นอย่างมาก แสดงถึงความสกปรก ความเปื้อน ความไม่สะอาด คือ กิเลส ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เป็นสิ่งสกปรกของจิต เมื่อเกิดขึ้นก็ทำให้จิตเปื้อนด้วยของไม่สะอาด ซึ่งมีจริงๆ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย และปกติของผู้ที่ยังไม่สามารถดับกิเลสอะไรๆ ได้ กิเลสก็เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ตามการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งจะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลย ข้อความในพระอภิธรรมปิฎก พระวิภังคปกรณ์ แสดงความเป็นจริงของผู้มีธุลีคือกิเลสเป็นอย่างมาก ไว้ดังนี้ ว่า

กิเลสวัตถุ (กิเลสที่ตั้งอยู่ในจิตของผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลส) ๑๐ คือ โลภะ (ความติดข้อง) โทสะ (ความโกรธ ความไม่พอใจ) โมหะ (ความไม่รู้) มานะ (ความสำคัญตน) ทิฏฐิ (มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม) ถีนะ (ความท้อแท้ท้อถอยหดหู่) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน ไม่สงบ) อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) กิเลสวัตถุ ๑๐ เหล่านั้น อันสัตว์เหล่าใด เสพมากแล้ว ทำให้เกิดแล้ว ทำให้มากแล้ว เพิ่มพูนขึ้นแล้ว สัตว์เหล่านี้นั้น ชื่อว่า ผู้มีธุลีคือกิเลสมาก


ชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังเป็นปุถุชน หนาแน่นไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยกิเลส ย่อมจะมีอกุศลเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่ออกุศลเกิดจะไม่ปราศจากความไม่รู้เลย มีความไม่รู้เกิดทุกครั้งที่จิตเป็นอกุศล แต่เมื่อกล่าวถึงกุศลแล้วเกิดน้อยมากเทียบส่วนไม่ได้เลยกับอกุศล ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในวันนี้ ในชาตินี้เท่านั้น แต่ว่าได้เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ เพราะได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมายนับชาติไม่ถ้วน จึงเป็นผู้ไหลไปด้วยอำนาจของกิเลส ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ กิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะโมหะ เป็นต้น เป็นสภาพธรรมที่มีโทษ ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยทั้งสิ้น เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต กิเลสทุกประเภท เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เมื่อเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ก็ทำให้จิตเศร้าหมอง และยังขจัดหรือทำลายซึ่งกุศลธรรม ไม่สามารถทำให้กุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้นได้เลย และถ้ามีกำลังมากถึงกับล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นต้น ก็สามารถนำไปเกิดในอบายภูมิได้ ทำให้ได้รับแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนมากมาย เพราะสภาพธรรมฝ่ายที่ไม่ดี นั้น ให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น จะนำมาซึ่งสิ่งที่ดีไม่ได้เลย นี้คือ ความเป็นจริงของธรรม ซึ่งใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

กิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นสภาพธรรมที่ไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ เพราะเป็นสภาพธรรมที่เศร้าหมอง ทำให้จิตเศร้าหมอง กิเลส เป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ เมื่อเกิดขึ้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์เลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่นำมาซึ่งทุกข์โทษภัยเท่านั้น กิเลส จึงเป็นสภาพธรรมที่บัณฑิตซึ่งเป็นผู้มีปัญญา รังเกียจ ไม่ควรแก่การเข้าใกล้เป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นเรื่องของปัญญาเท่านั้น ที่จะเห็นโทษเห็นภัยของกิเลสตามความเป็นจริง

จึงแสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ควรกลัว ไม่ควรเข้าใกล้ ไม่ควรที่จะสะสม ก็คือ กิเลสทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายที่เป็นอกุศล แล้วแต่ละคนคิดอย่างนี้หรือเปล่าในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่? เพราะใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ นอกจากปัจจัยที่สำคัญคือการสะสมมาด้วยปัญญาที่เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงว่าแต่ละคนเกิดแล้วต้องตาย แล้วระหว่างที่ยังไม่ตาย มีธรรม ๒ ฝ่าย ที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง คือ สภาพธรรมฝ่ายดี กับ สภาพธรรมฝ่ายชั่ว ซึ่งก็จะนำมาซึ่งผลในภายหน้า กล่าวคือ สภาพธรรมฝ่ายชั่ว ต้องนำผลที่ไม่ดีมาให้ ไม่มีทางที่สภาพธรรมฝ่ายชั่ว จะนำสิ่งที่ดีมาให้ได้เลย ชีวิตประจำวันก็เป็นเครื่องพิสูจน์อยู่แล้ว เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของใคร ขณะไหน เกิดความทุกข์ยากลำบาก ประสบภัยพิบัติหรือเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคชนิดต่างๆ ทั้งหมด นั้น มาจากไหน? ถ้าเป็นผลที่ไม่ดี ต้องมาจากเหตุที่ไม่ดี ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี เป็นคุณความดีประการต่างๆ ก็นำมาซึ่งผลที่ดี เป็นผลที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ เท่านั้น เหตุย่อมสมควรแก่ผล เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เมื่อได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ก็ย่อมจะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ย่อมเห็นตามความเป็นจริง มั่นคงในความเป็นจริงของธรรมที่เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ทำให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่มีใครเลย นอกจากสภาพธรรมแต่ละหนึ่งๆ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยเท่านั้น

โลกเดือดร้อน ทุกคนเดือดร้อน แม้แต่ตัวเองก็เดือดร้อน ทั้งหมดนั้น ก็เพราะกิเลส สมควรไหมที่จะสามารถดับกิเลสได้ ดีกว่าปล่อยไปทุกวันเพิ่มกิเลสขึ้นทุกวันโดยไม่คิดที่จะดับเลย แม้เพียงคิดที่จะดับกิเลส มีหรือไม่ เพราะเหตุว่า กิเลสไม่ใช่ว่าจะดับได้โดยง่าย ต้องอาศัยพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทุกอย่างตามความเป็นจริง จึงสามารถที่จะทรงแสดงหนทางดับกิเลสให้คนอื่นได้รู้ว่าหนทางนี้เป็นหนทางดับกิเลส หนทางที่จะดับกิเลส ยาวไกลมาก เพราะว่าแต่ละคนมีกิเลสมากซึ่งจะดับได้ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ตลอด ๔๕ พรรษา จึงเป็นอนุสาสนี เป็นคำพร่ำสอนที่มีค่ามหาศาล ที่เป็นไปเพื่อปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอดเพื่อให้พุทธบริษัทเห็นโทษเห็นภัยของกิเลส เพื่อรู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่ายังเป็นผู้มากไปด้วยกิเลส เพื่อจะได้ขัดเกลา ละคลายให้เบาบางลง ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย โดยมั่นใจในหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ว่า เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สัตว์โลกพ้นจากกิเลสอันเป็นธุลีคือสิ่งสกปรกของจิตซึ่งมีมากเป็นอย่างยิ่งได้ในที่สุด เพราะสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ไม่ใช่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นความเข้าใจถูกความเห็นถูกที่ได้อาศัยคำจริงแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 15 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ