[คำที่ ๔๖๕] ธมฺมิกถา

 
Sudhipong.U
วันที่  23 ก.ค. 2563
หมายเลข  32585
อ่าน  938

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ ธมฺมิกถา

คำว่า ธมฺมิกถา เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า ดำ - มิ - กะ - ถา] มาจากคำว่า ธมฺม (สิ่งที่มีจริง, คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) [ลง อิ ตรง ม ท้ายสุด]กับคำว่า กถา (ถ้อยคำ,คำกล่าว) รวมกันเป็น ธมฺมิกถา แปลว่า ถ้อยคำที่กล่าวถึงธรรมคือสิ่งที่มีจริง เขียนเป็นไทยได้ว่า ธรรมิกถา หรือ ธรรมีกถา ก็ได้ แสดงถึง ถ้อยคำ หรือ ข้อความที่เป็นการประกาศคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นจะได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง การกล่าวหรือแสดงสิ่งที่มีจริง ผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว จึงมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง เพราะไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใดก็ไม่พ้นจากธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง คำจริง ไม่ว่าจะเป็นใครกล่าว ก็เป็นคำจริง เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟังโดยตลอด อย่างเช่นข้อความในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค สารีปุตตสูตร ดังนี้

“สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลาย เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ด้วยวาจาของชาวเมือง สละสลวยไม่มีโทษ ไม่เคลื่อนคลาด อาจยังผู้ฟังให้รู้เนื้อความได้แจ่มแจ้ง ส่วนภิกษุเหล่านั้นก็ทำธรรมนั้นให้เป็นประโยชน์ ใส่ใจกำหนดด้วยจิตทั้งปวง เงี่ยโสตลงฟังธรรม”


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกคำ เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้ผู้ฟังผู้ศึกษาเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง ทุกคำเกิดจากการตรัสรู้ของพระองค์ ที่กว่าจะได้ตรัสรู้นั้นพระองค์ต้องบำเพ็ญพระบารมีสะสมคุณความดีประการต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่ยาวนานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์เมื่อครั้งที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานมาก พระบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาทั้งหมด ไม่ใช่เพื่อประโยชน์เฉพาะพระองค์เท่านั้น แต่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง ให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ตั้งแต่เริ่มประกาศพระศาสนาจนกระทั่งถึงเวลาที่พระองค์จวนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า พระธรรมแต่ละคำ มีค่ามาก ทำให้ผู้ได้ฟังได้ศึกษามีความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส จนกว่ากิเลสจะดับหมดสิ้น เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเท่านั้น

สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นธรรม แต่เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม จึงต้องมีผู้กล่าวธรรม กล่าวถ้อยคำที่แสดงให้เข้าใจถูกต้อง ว่า นั่นเป็นธรรม ซึ่งก็คือ ธรรมีกถา นั่นเอง เพราะไม่ได้พูดอย่างอื่น ไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ แต่พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ให้บุคคลอื่นได้เข้าใจอย่างถูกต้อง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งกล่าว ยิ่งเปิดเผย ก็ยิ่งรุ่งเรือง จะเห็นได้ว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกปกปิดด้วยคำของบุคคลอื่นนานแสนนาน ถึงเวลาแล้วที่เมื่อมีใครก็ตามที่เข้าใจถูกต้อง ก็ช่วยกันแสดงความจริง เปิดเผยความจริง เพราะกว่าใครจะมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว นั้น เป็นโอกาสที่หายาก เพราะฉะนั้น ก็ต้องช่วยกันกล่าว แสดง เปิดเผยคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อพระธรรมจะได้รุ่งเรืองและกระจ่าง โดยไม่ต้องหวั่นเกรงอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของบุคคลอื่น

เมื่อมีบุคคลผู้กล่าวธรรมีกถาหรือเปิดเผยพระธรรม จึงเป็นเหตุให้บุคคลผู้สะสมเหตุที่ดีมา มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง แล้ว มีความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะเห็นพระคุณของพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงสภาพธรรมพร้อมด้วยเหตุและผลอย่างละเอียดแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายย่อมไม่สามารถพ้นไปจากความเห็นผิด และความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ได้ ยังมืดสนิทด้วยความไม่รู้ ถ้าบุคคลใดไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ แต่คิดเอาเองว่าเข้าใจธรรมแล้ว ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ประมาทอย่างแท้จริง ประมาทในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมมีความเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนได้ แต่ว่าถ้าศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมบ่อยๆ เนือง ๆ ด้วยความเคารพ ละเอียดรอบคอบ พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผล ก็ย่อมมีความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคงในความเป็นจริงยิ่งขึ้น จากที่มากไปด้วยความไม่รู้ก็ค่อยๆ เข้าใจถูกเห็นถูกขึ้นได้ และถ้าได้ศึกษาต่อไป ด้วยความเป็นผู้เห็นประโยชน์ของสิ่งที่มีค่าที่สุด ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็จะเพิ่มขึ้น สะสมสืบต่ออยู่ในจิต เป็นที่พึ่งต่อไปโดยตลอด

ถ้าหากไม่มีการกล่าวหรือเปิดเผยความจริงเลย การฟังในสิ่งที่มีจริงก็เกิดขึ้นไม่ได้ และกุศลธรรมที่จะเจริญขึ้นคล้อยตามปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นสืบเนื่องมาจากการฟังพระธรรม ก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น การกล่าวธรรมีกถา การเปิดเผยความจริง จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ตามกำลังปัญญาของแต่ละคนอย่างแท้จริง

สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบให้เป็นมรดกที่ล้ำค่ากับพุทธบริษัท ก็คือ คำจริงทุกคำที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนถ้าเห็นคุณอย่างนี้ บูชาคุณของพระองค์ด้วยความเป็นผู้ตรง ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เปิดเผยคำสอนที่ถูกต้องเพื่อให้คนอื่นได้มีโอกาสได้รู้ได้เข้าใจถูก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในชาติต่อๆ ไป เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีใครกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วใครจะรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด การพูดความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง นั่นก็เป็นการที่จะดำรงรักษาพระพุทธศาสนา เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมทุกอย่าง ซึ่งเมื่อผู้ฟังได้ฟังแล้ว ถ้าคิดไตร่ตรอง และเป็นคนที่ตรง ก็จะเริ่มเข้าใจว่า อะไรถูก อะไรผิด และ เข้าใจว่าอะไรเป็นคำสอนที่ถูกต้อง เพราะทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ความหวังดี ที่จะได้เกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วสามารถทิ้งความเห็นที่ผิด แล้วประพฤติในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์ต่อไปได้ จึงถึงเวลาแล้วที่พุทธบริษัทจะได้เริ่มต้นฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เป็นชาวพุทธที่แท้จริง ด้วยปัญญาที่เข้าใจในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่การไปทำอะไรตามๆ กันด้วยความไม่รู้.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 15 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ