ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๖๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๖๗ * *
~ การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด มีศรัทธาที่จะบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการกระทำที่ยาก ไม่ใช่การกระทำที่ง่ายเลย พระผู้มีพระภาคทรงโอวาทเพื่อที่จะให้บุคคลนั้นขัดเกลา และมีความประพฤติเป็นไปให้สมกับเพศ คือ สมณเพศ ซึ่งเป็นบรรพชิต
~ ที่สำคัญที่สุดที่จะดำรงพระศาสนาอยู่ที่ความเข้าใจถูกความเห็นถูกตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ก็ต้องช่วยกันที่จะเป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่าจะรักษาพระศาสนาได้อย่างไร มิฉะนั้นแล้ว ไม่สำเร็จ เหมือนกับความคิดที่ว่า "เมื่อไหร่คนจะไม่ทุจริต" จะสำเร็จได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าใจธรรม เพราะเป็นอกุศล แต่ถ้าเป็นกุศลก็ตรงกันข้าม และกุศลนี้จะมาจากไหน ถ้าไม่เข้าใจธรรม เกิดได้ไหม เพราะวันนี้อกุศลก็มาก แค่ลืมตาก็เป็นอกุศลแล้ว แต่ไม่รู้
~ ประเทศใดก็ตาม มีทรัพย์สินเงินทอง มั่งคั่ง มีวัตถุอะไรต่างๆ ก็ตาม แต่เป็นคนเลวทั้งประเทศ ดีไหม? ไม่ดี แล้วทำอย่างไร คนที่เลว คนที่ทุจริต จะดีขึ้น ถ้าไม่ได้รู้ความจริงว่า เลว คือ เลว ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) เท่านั้น ที่จะเห็นว่า ไม่ควรทำ เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี นำโทษมาให้
~ ทุกคน ทุกท่าน ที่เคารพในพระธรรม ไม่เห็นว่าจะลำบากในการที่จะทิ้งความเห็นผิดเลย และไม่ลำบากที่จะเริ่มต้นในสิ่งที่ถูก เพราะว่าถ้าไม่เริ่มต้น ยิ่งผิด ยิ่งละยาก ถูกยากขึ้น
~ ถ้ามีความเห็นผิด มีความเข้าใจผิดในสภาพธรรมแล้ว ก็ย่อมจะทำให้อกุศลกรรมเพิ่มพูนมากขึ้นได้
~ พระธรรม แต่ละคำเป็นแสงสว่าง แต่ละคำ (ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) มีค่ามหาศาลจริงๆ ทำให้สิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ ได้เข้าใจขึ้นแม้แต่คำว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ใครรู้บ้าง ถ้าไม่ได้ฟัง
~ การฟังพระธรรมด้วยความไม่ประมาท ก็จะทำให้เป็นผู้อยู่ในหนทางที่จะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ไม่ออกไปนอกทางที่จะไปทำอย่างอื่นที่คิดว่าหนทางนั้นจะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ
~ มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ฟัง ด้วยความเคารพเพื่อจะรู้ว่าหนทางนี้เป็นหนทางเดียวเพื่อละความไม่รู้ซึ่งจะทำให้ละกิเลสทั้งหลาย จนกระทั่งสามารถที่จะดับหมด ไม่เกิดอีกเลย
~ ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่ต้องรอบรู้ในสิ่งที่กำลังฟังด้วย ที่พึ่งจริงๆ คือความเข้าใจถูกเห็นถูก
~ ทุกข์ในโลกมนุษย์ แม้จะหนักหนาสาหัสเพียงใด ก็ยังไม่เท่าทุกข์ในนรก
~ ดีใจ ที่ได้รับสิ่งที่ดีจากผู้อื่น แต่ลืมอนุโมทนาในกุศลจิตของผู้นั้นหรือเปล่า?
~ ปัญญาเป็นเครื่องนำทางชีวิตไปสู่ความเจริญทั้งหลายทั้งปวง คนดี มีปัญญา ที่จะคิดชั่วๆ พูดชั่วๆ ทำชั่วๆ นั้น เป็นไม่มี
~ ถ้าไม่มีพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศหลังจากที่พระองค์ทรงรู้แจ้งสภาพธรรมแล้ว สัตว์โลกอยู่ในความมืดสนิท เพราะเหตุว่าไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่มีใครสามารถทำให้รู้ได้ ไม่สามารถมีใครที่จะทำให้พ้นจากความเห็นผิดได้ นอกจากเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วเท่านั้นและได้ทรงประกาศพระธรรมให้คนอื่นค่อยๆ เริ่มค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ พิจารณาสิ่งที่กำลังปรากฏ
~ ๔๕ พรรษา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของธรรม เพื่อให้ค่อยๆ เข้าใจถูกตามลำดับขั้นของปัญญา จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งอย่างที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แจ้งว่า ไม่มีเรา สิ่งที่มี มีจริงๆ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์จริงๆ เพราะฉะนั้น จะมีเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าอะไรเป็นความจริง สิ่งนั้นเป็นสัจจะ ที่จะต้องมั่นคงว่าความจริงเป็นอย่างนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงสามารถที่จะค่อยๆ ละความเห็นผิดเพราะความไม่รู้ว่าสิ่งที่มีในขณะนี้ไม่ใช่เรา
~ นิพพาน (สภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ สภาพธรรมที่ดับทุกข์ดับกิเลส) เป็นธรรม นิพพาน ก็ต้องเป็นอนัตตา ใครก็จะเปลี่ยนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้
~ นิพพาน เป็นธรรมหรือเปล่า แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเมื่อไหร่ว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาเว้นนิพพาน ลองหามา แล้วเป็นความจริงหรือ? ทุกคนฟังแล้วพิจารณา ส่วนใครจะเข้าใจอย่างไรเป็นเรื่องของเขา จึงมีความเห็นผิดและความเห็นถูก เราไม่สามารถที่จะไปแก้ไขคนที่เห็นผิดได้ แต่ว่า ถ้าเขาฟังแล้วก็รู้ว่าอะไรจริง เป็นคนตรง ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีสัจจบารมี ความเป็นผู้ตรงต่อความเป็นจริง
~ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง จะไม่ใช้คำว่าธรรมก็ได้ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วดับ หรือ สิ่งที่ไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิด ก็มีจริง มิฉะนั้น จะไม่มีการตรัสรู้และการดับกิเลสได้เลย
~ เมื่อนิพพาน มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้นิพพาน พระองค์ก็ตรัสคำว่า ธรรม ทุกอย่าง คือ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ได้กล่าวว่าเว้นนิพพานเลย แต่ตรัสว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา เมื่อนิพพาน มีจริง พระองค์ทรงตรัสรู้ว่าเป็นธรรมแล้วพระองค์ก็ตรัสว่าธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา แล้วใครจะเปลี่ยน?
~ เมื่อได้เข้าใจสิ่งใดโดยการศึกษาด้วยความเคารพอย่างละเอียดยิ่ง เห็นว่าสิ่งนั้นถูกต้องแล้วจึงได้ประกาศเผยแพร่ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วยโดยความเป็นมิตรผู้หวังดีที่จะให้เขาเข้าใจถูก ส่วนใครจะเข้าใจอย่างไรนั้นไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แล้วก็ไม่หวังด้วยว่าใครจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย จะเข้าใจอย่างไร แต่เมื่อได้เข้าใจตามที่ได้ศึกษาโดยละเอียดโดยรอบคอบแล้ว ก็ได้รู้ว่าความจริงที่ได้ศึกษาแล้วเป็นอย่างนี้ ก็เผยแพร่ประกาศความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เมื่อเขาพิจารณาแล้ว เป็นเรื่องของเขาว่าเขาจะเห็นถูกหรือเห็นผิด แต่ทุกคำที่เรากล่าวมีในพระไตรปิฎก เป็นคำแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว และก็มีคำอธิบายขยาย ๔๕ พรรษา ให้รู้ความจริงนั้นๆ ตามลำดับขั้น
~ ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ เพื่อเข้าใจความจริง สัจจบารมีมั่นคงมาก ว่า ความจริงขณะนี้มีผู้ประจักษ์แจ้งแล้วโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งเป็นบุคคลแรก ตามพระบารมีที่สะสมมาที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรม ผู้ฟังที่สะสมมาในฐานะของสาวก ก็มีความรู้ความเข้าใจระดับของสาวก เพราะฉะนั้น บารมีที่สะสมมาไม่ทำให้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ทำให้ถึงความเป็นพระอริยสาวก เพราะฉะนั้น ถ้าขาดบารมีจะสามารถเข้าใจความจริงได้ไหม?
~ ทุกคนมีปัญหา มากน้อยต่างกัน เพราะความไม่รู้ แต่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจากที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง แต่ละคำจะค่อยๆ ทำให้แก้ปัญหาที่ตัวของแต่ละบุคคล นั่นก็คือ แก้ปัญหาของประเทศชาติ
~ การพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พึ่งโดยประการอื่นเลย แต่พึ่งในคำสอนซึ่งทำให้บุคคลนั้นเกิดความเข้าใจซึ่งในสังสารวัฏฏ์ไม่ได้เคยเข้าใจมาก่อนเลย และคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนำให้มีความเจริญในทางปัญญายิ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดปัญหาได้
~ ควรที่จะเห็นความเป็นประโยชน์อย่างยิ่งของการที่จะได้เข้าใจพระธรรม แต่ขอให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการฟังพระธรรม เพราะว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะต้องไตร่ตรอง ศึกษา ครบถ้วน ในความถูกต้อง มิฉะนั้น ก็คลาดเคลื่อน ถ้าเข้าใจผิดไป ก็เป็นภัยอย่างยิ่ง
~ ถ้าทุกคนไม่รู้ ไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ต้องผิด เพราะไม่รู้ ไม่ใช่ว่าจะเอาใครมาแก้ (สิ่งที่ผิด) "ความรู้" ต่างหากที่แก้ ถ้ายังคงไม่รู้อยู่ต่อไปก็แก้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือความเข้าใจถูก ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ผิด แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ลึกซึ้ง ที่จะเข้าใจ ถ้ามีความเข้าใจ พุทธบริษัทก็สามารถที่จะดำรงพระศาสนาได้ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย ก็ย่ำยีพระธรรมวินัย
~ ปัญญา รู้ ไม่ใช่ไม่รู้ พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนให้ผู้ฟังเกิดความรู้ถูก ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เป็นของตนเอง ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจขึ้นๆ ทั้งหมดเพื่อละ ไม่ลืมว่า เพื่อละความไม่รู้ ถ้ายังหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นก็คือว่า ไม่สามารถที่จะละความไม่รู้ได้ เพราะเหตุว่า เพราะไม่รู้ จึงหวังหรือยังติดข้องอยู่
~ การเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ด้วยอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น นอกจากด้วยความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง จึงเคารพสูงสุดในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ และในพระมหากรุณาคุณของพระองค์ เพื่อให้คนอื่นที่สามารถเข้าใจได้ ได้เข้าใจ
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๖๖
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...