ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่จะรู้จักพระองค์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญ
จากการสนทนาธรรม
ที่ห้องประชุม “ป๋วย อึ้งภากรณ์”
อาคาร ๑ ชั้นที่ ๔ ธนาคารแห่งประเทศไทย
วันพฤหัสบดีที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๓
(ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณวันชัย ภู่งาม สำหรับภาพถ่ายกิจกรรมที่สำคัญในครั้งนี้)
~ ดูเหมือนว่าทุกคนรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เพียงได้ยินชื่อ ถ้าถามว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือใคร ก็ตอบได้ ประสูติที่ไหน และเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้ เพียงเท่านั้นไม่พอ
~ พอได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ตรงต่อตัวเอง ยังไม่รู้จักคำนี้ว่ามีความหมายลึกซึ้งแค่ไหน นอกจากจะเป็นผู้ที่ดับกิเลสหมดกิเลสไม่มีกิเลสเหลือเลยแล้วยังเป็น สัมมาสัมพุทธะ ผู้ตรัสรู้ความจริง ตามความเป็นจริง ก่อนได้ฟังคำของพระองค์ ไม่มีใครรู้ความจริง เพราะฉะนั้น ต้องตรงมากทีเดียว แล้วความจริงอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวนี้ จริงตั้งแต่เกิดทุกขณะ กำลังเห็นก็จริง กำลังได้ยินก็จริง เพราะฉะนั้น คำว่าตรัสรู้ จะรู้อะไร ถ้าไม่ใช่รู้สิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมากมายมหาศาลที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพียงเท่านี้เราไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ จึงฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่งว่า กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้ ไม่ง่าย ลึกซึ้งมากและเมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ตรัสว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ละเอียดลึกซึ้งยากที่จะเห็นได้ เดี๋ยวนี้เอง ละเอียดลึกซึ้งยากที่จะเห็นได้ เพราะฉะนั้น หมายความว่า เราไม่รู้จักธรรม (สิ่งที่มีจริง) จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้ว่าพระองค์ตรัสรู้สิ่งที่ลึกซึ้ง ยากที่คนอื่นจะฟังแล้วเข้าใจโดยง่ายโดยเร็ว แต่ต้องด้วยความเคารพอย่างยิ่งว่าถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์จะไม่รู้เลยว่าเราไม่รู้อะไรบ้าง ตั้งแต่เกิดจนตาย บางคนไม่รู้ตลอดชีวิต ไม่รู้อะไร? ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ความจริงนี้ซ่อนเร้นลึกซึ้งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ทุกชาติจนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมคือคำที่พระองค์ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ หลังจากที่ได้ตรัสรู้แล้ว ๔๕ ปี (พระองค์ทรงแสดงพระธรรม ตลอด ๔๕ พรรษา)
~ ทุกคนที่เกิดมาแล้ว ตายทุกคน จะตายวันไหน จะตายที่ไหน จะตายเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้เลย แต่ถ้าฟังแล้วมีความเข้าใจว่าเราต้องตายแน่นอนแล้วก็กำลังจะตายด้วย เพราะอะไร? เมื่อไหร่ก็ได้เดี๋ยวนี้ก็ได้ เพียงแค่ได้ยิน ก็ตายได้ เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้จริงๆ จากอุบัติเหตุจากอะไรทั้งหมด ก็แสดงความจริง ว่า ใครจะรู้ล่วงหน้า? เพราะฉะนั้น ทุกคนกำลังจะตาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าตายเมื่อไหร่เท่านั้นเอง แต่แน่นอนที่สุด ก็คือว่า ก่อนตายมีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้จักพระองค์ไหม? ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนที่ตรงอย่างยิ่งต่อความจริง เป็นสัจจบารมีที่จะรู้ว่าบารมี ก็คือ มีความเข้าใจถูกในความจริงจนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริง
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัส ให้เริ่มพิจารณาให้เข้าใจถูกต้องว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเมื่อเกิดแล้วดับไปจะเป็นใครหรือว่าจะเป็นของใครได้ เพราะไม่เหลือ ยากไหม? จริงหรือเปล่า? แล้วใครจะบอกความจริงนี้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ทุกคำ ให้ค่อยๆ เริ่มเข้าใจขึ้น จนกระทั่งเป็นผู้ที่สามารถประจักษ์แจ้งความจริง ซึ่งทำให้ละการที่จะยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
~ แต่ละหนึ่งๆ ถ้าแยกกัน อย่างตัวของเราที่นั่งกันอยู่ทุกคน สามารถแยกละเอียดยิบ เพราะมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียด เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะแตกทำลายเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนไหนก็ได้ ตัดผม ตัดแขน ตัดขา ตัดได้หมด ของเราหรือ?
~ ทุกอย่างที่มี ชั่วคราว แสนสั้น เพียงแค่ปรากฏแล้วก็หมดไป
~ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ลึกซึ้ง ละเอียด ยากที่จะเห็นได้ แต่ก็มีผู้ที่สามารถฟังแล้วเข้าใจแล้วก็สามารถที่จะค่อยๆ รู้ความจริงได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระธรรม เพราะทรงบำเพ็ญพระบารมีไม่ใช่เพียงเพื่อพระองค์จะได้รู้ความจริงเพียงพระองค์เดียว แต่ยังทรงเห็นว่าสัตว์โลกไม่ว่าเทวดาหรือพรหมหรือที่ไหนทั้งสิ้น ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ด้วยตนเอง
~ ที่เครียดไม่สบาย เพราะเป็นเรา ถ้าไม่มีเรา ก็ไม่ต้องมี (อย่างนั้น) แต่เพราะยึดถือว่าเป็นเรา ก็เลยเครียด แต่ถ้าเข้าใจความจริงว่าใครบังคับใครได้ ใครทำให้อะไรเกิดขึ้นได้? แต่ทุกอย่างที่เกิด ไม่ว่าอะไรทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นและทรงแสดงความจริงของสิ่งนั้นว่าเกิดแล้วดับไป ถ้าเข้าใจอย่างนี้ จะเครียดไหม?
~ เพศบรรพชิต จะมีชีวิตเหมือนอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ เพราะสะสมมาที่จะอุทิศชีวิตเพื่อศึกษาและอบรมปัญญาจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงถึงความเป็นพระอริยบุคคลในเพศบรรพชิต
~ แม้ไม่ได้บวช ปัญญาอยู่ที่ไหน จะไม่ให้ปัญญาเข้าใจสิ่งนั้นก็ไม่ได้ ปัญญาที่อบรมมาแล้ว อย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นพระโสดาบันเพราะสะสมมาที่จะฟังแล้วเข้าใจจนกระทั่งสามารถถึงขั้นที่ปัญญาแทงตลอดสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ เพราะมีความเข้าใจตั้งแต่ฟังทีละคำจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้าสะสมมาแล้ว พรุ่งนี้พอพูดถึงธรรม เรารู้เลยว่าหมายถึงอะไร เพราะได้ฟังวันนี้ แต่ถ้าคนนั้นฟังมามาก อย่างเช่น อุปติสสมาณพ (พระสารีบุตร) ฟังท่านพระอัสสชิ (ก็ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม) เป็นพระโสดาบันด้วยปัญญาที่ประจักษ์แจ้งความจริง ไม่มีความสงสัยเพราะได้สะสมมาแล้ว
~ จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ก็ได้ และทุกคนก็ต้องจากแน่นอน แต่ไม่ใช่เพราะคนหนึ่งคนใดดลบันดาล แต่เมื่อถึงวาระที่กรรมหนึ่งพร้อมที่จะให้ผล เพราะฉะนั้น บางคนเกิดมาอายุสั้น บางคนก็อายุยืน กำหนดไม่ได้เลย เลือกไม่ได้ เพราะเหตุว่าแล้วแต่กรรมที่จะให้เป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกนานเท่าไหร่ บางคน ๓ ขวบก็ถูกฆ่าแล้ว ใช่ไหม? เป็นไปได้ทุกอย่าง ไม่มีใครทำ นอกจากกรรมที่ได้กระทำแล้ว จะไปให้ผลกับคนอื่นไม่ได้ เพราะกรรมนั้นเป็นเหตุที่จะให้ผลขณะนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น กรรมใดที่ทำไว้ กรรมนั้นแหละให้ผลตั้งแต่เกิด ต้องเป็นคนนี้เป็นคนอื่นไม่ได้ ตามการสะสมมา อะไรจะเกิดขึ้นไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลย แต่มีเหตุที่ได้กระทำแล้วทั้งหมดที่จะทำให้เกิดแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ทั้งหมดนี้ เป็นผลของกรรม
~ ความโกรธ ความโลภการกระทำทุจริตต่างๆ เป็นกรรมไม่ใช่ผลของกรรม เพราะฉะนั้น ผล ก็คือ ต้องเกิดตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว
~ สันติ ความสงบจากอะไร? จากความไม่รู้ เป็นความรู้จึงสงบได้ ถ้ายังคงไม่รู้ต่อไปก็ไม่มีทางที่จะสงบได้ เพราะมีเหตุที่จะให้หลงติดข้องบ้าง และความไม่ดีทั้งหลาย เพราะไม่รู้จึงเกิดขึ้นเป็นทุจริตทั้งทางกาย วาจา ใจ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลย
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
อนุโมทนาในกุศลจิตของคุณธวัชชัย กิติชัยวัฒน์ ที่ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมในครั้งนี้
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ...