คิดเอาเองหรือเปล่าว่าตนเองเป็นชาวพุทธ

 
khampan.a
วันที่  11 ส.ค. 2563
หมายเลข  32648
อ่าน  1,005

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ประมวลสาระสำคัญ

จากการสนทนาธรรม

ที่สำนักงานเทศบาลตำบล บางพระ

อำเภอ ศรีราชา จังหวัด ชลบุรี

วันอังคารที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๓















~ ธรรม ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่จะให้กัน แต่เป็นเรื่องที่ว่ามีผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดเหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในทุกจักรวาลไม่ว่าในพรหมโลก มนุษย์โลกเทวโลกหรือที่ไหนก็ตาม จะไม่มีใครรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงแสดงประกาศความจริงที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วให้คนอื่นเห็นประโยชน์ที่จะเข้าใจความจริง เพราะทุกคนก็เกิดมาแล้วไม่รู้ตัวเลยว่าไม่รู้ คิดว่ารู้หมดเลย แต่พอฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเริ่มรู้ว่าใครก็รู้ไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นอย่างนี้ เริ่มคิดว่า น่าสนใจไหม? แล้วทุกคนก็กราบไหว้ ไปวัด ทำบุญ แต่ว่าถ้าไปวัดฟังธรรมแล้วไม่เข้าใจ เป็นบุญหรือเปล่า? ละเอียดมากที่จะต้องเป็นคนที่ตรง เป็นสัจจบารมีที่จะทำให้สามารถเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศแสดงเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้น คนที่ยังไม่ได้ตรัสรู้ไม่ได้รู้ความจริงที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว ก็จะไม่รู้เลยว่าพระองค์ตรัสรู้อะไร จึงไม่สามารถที่จะตอบได้ว่า ธรรมคืออะไร? ดูเหมือนคุ้นหูแล้วก็คุ้นปากพูดบ่อยๆ แล้วก็เหมือนกับคุ้นใจ รู้ว่าไปฟังธรรม แต่ว่าธรรมคืออะไร? ต้องละเอียดอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนตรัสรู้ไม่ได้ทรงแสดงธรรม แต่เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว จึงแสดงธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้น ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ต้องยาก ลึกซึ้ง ประณีต แต่ก็สามารถที่จะรู้ได้ แต่ไม่ใช่รีบร้อนที่จะไปรู้ไปเข้าใจ แต่ทุกคำต้องไตร่ตรอง ถ้าไม่เข้าใจคำแรก คำที่สอง ที่สาม ที่สี่ ตลอดไป จะเข้าใจไหม? แต่ถ้าเข้าใจคำแรกที่ได้ฟังชัดเจน ไม่มีความสงสัย ฟังอีก ได้ยินอีก ก็รู้ว่า ธรรมคืออะไร

~ เรา ไม่ใช่สรุปง่ายๆ คิดเอาเองว่าเราเป็นชาวพุทธ แต่ชาวพุทธ หมายความว่าอะไร? พุทธะ” คือผู้รู้ “ชาว” ก็คือบุคคลต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังแล้วก็รู้จักพระธรรมรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวว่าเป็นชาวพุทธ เพราะ พุทธะ คือปัญญา ได้มีปัญญาที่จะรู้ว่าพุทธะ รู้อะไร เดี๋ยวนี้มีไหม รู้ได้ไหม? ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ในเบื้องต้นจะไม่สามารถเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แต่ยกคำของพระองค์ขึ้นมาเป็นคำๆ แต่ไม่มีความหมายตามที่พระองค์ทรงแสดง เพราะฉะนั้น ก็เป็นความคิดของแต่ละคน ตรงไหมกับคำว่าชาวพุทธ? ตรงไหมกับคำว่าสัจจะ? ต้องเริ่มตั้งแต่ต้น ขัดเกลาเพื่อใคร? ตนเองที่ไม่รู้

~ โดยมากทุกคนมุ่งไปที่คนอื่น อย่างผู้ใหญ่ก็จะให้เด็กเป็นคนดี ทำดี อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วผู้ใหญ่เองล่ะ ทำดี เป็นคนดี และรู้ธรรมหรือเปล่า? แต่บอกให้ลูกหลานเรียนธรรม แล้วใครล่ะจะสอนลูกหลาน ถ้าผู้ใหญ่ไม่มีความเข้าใจธรรม? ด้วยเหตุนี้ธรรม ไม่ใช่เรื่องเกี่ยงหรือเรื่องมอบภาระให้ใคร แต่เมื่อรู้ตัวเองว่าไม่รู้ เป็นชาวพุทธหรือเปล่า เพราะไม่รู้? ไม่รู้แล้วบอกว่าเป็นชาวพุทธ ถูกต้องไหม? ต้องเป็นคนที่ตรง สัจจบารมีสำคัญที่สุด มิฉะนั้นแล้ว ไม่สามารถที่จะเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงได้ เท่านี้ ทุกคน สนใจที่จะเข้าใจคำที่พระองค์ตรัสเมื่อตรัสรู้แล้ว (หรือไม่?) แม้แต่เพียงคำว่า ธรรม คำแรกก่อน

~ แม้แต่ความเคารพ เราจะเคารพนับถือใครก็ในคุณความดี แม้เขาจะมีชื่อเสียงมีเกียรติยศมีอะไรมากมาย แต่ถ้าทำชั่ว ใครเคารพ? นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความตรง ว่า สิ่งที่ควรเคารพอย่างยิ่ง ก็คือ สิ่งที่ไม่เป็นโทษไม่เป็นภัย สิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นความดี แต่ความดีที่สูงที่สุดยิ่งกว่านั้น ก็คือ การรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ

~ ยินดีด้วยกับกุศลที่ไม่ใช่เล็กน้อยเลยในวันนี้ ถ้าจะมีการได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้น แล้วก็มีความเคารพขึ้น ด้วยการที่มีความเข้าใจขึ้น ในคำของพระองค์

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษา หลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วและก่อนที่จะปรินิพพานด้วย มากมายอย่างนั้น เพราะอะไร? เพื่ออะไร? เพราะเหตุว่าธรรม ลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจจริงๆ ทั้งๆ ที่กำลังมีอยู่ ต้องเป็นผู้ที่สะสมประโยชน์อย่างยิ่ง คือ ที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แล้วก็เหมือนมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร และไม่มีวันที่จะรู้ได้เอง ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ เป็นเรามาตั้งแต่เกิดแล้วก็จะเป็นเราต่อไปอีกนานมากทุกๆ ชาติจนกว่าจะฟังธรรมแล้วเข้าใจขึ้นว่าไม่มีเรา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ไม่ว่าจะเป็นธรรมใดๆ ทั้งสิ้นทั้งหมด สิ่งที่มีจริงนั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่จะเป็นของใครได้ เพราะเหตุว่าเพียงเกิดขึ้นแล้วดับไป จะเป็นของใครได้ หรือว่า จะเป็นใครได้? ถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ ต้องเข้าใจแต่ละคำ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ธรรมทุกอย่างที่มีจริง เพราะฉะนั้น จึงเป็น สัพเพ ธัมมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แต่ว่าความจริงก็หลากหลายมาก ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดง ทรงแสดงให้ (จากที่มี) ความไม่รู้ในทุกสิ่งอย่างที่มีทุกวัน ค่อยๆ เข้าใจสิ่งนั้นทีละเล็กทีละน้อย จนสามารถที่จะเข้าใจในคำว่า ธรรม ได้ แล้วจึงฟังธรรม เพื่อเข้าใจธรรม

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำมาซึ่งปัญญา เป็นปัญญาที่ตรัสเพราะปัญญา ด้วยเหตุนี้ ความเคารพสูงสุดอยู่ที่ไหน? อยู่ที่เคารพในธรรม เป็นพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถ้าไม่ฟังแล้ว แล้วเราจะเป็นสาวก (คือ) ผู้ฟังได้อย่างไร ต้องมีเหตุมีผลมาก ถ้าไม่ฟังไม่เข้าใจไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะเป็นชาวพุทธได้ไหม?

~ คนที่ทำทุจริต เพราะอะไร? เพราะไม่รู้ว่าทุจริตไม่ดี ใช่ไหม? ให้โทษมากด้วย ถ้ารู้ จะทำไหม? ถ้ารู้จริงๆ ไม่ทำ ความรู้นั้นก็รู้ว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ เพราะฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้ จะทำสิ่งที่ตัวเองก็รู้แน่นอนว่านั่น เป็นโทษ นั่น เป็นความไม่ดี ได้หรือ? ด้วยเหตุนี้ คนที่ทำทุจริตก็เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าทุจริตเป็นอะไร เป็นโทษอย่างไร นี่แสดงให้เห็นว่าโลกทั้งโลกไม่ว่าที่ไหน ทุจริตเต็มโลก ไม่ว่าประเทศไหน วงการไหนทั้งสิ้น เพราะไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร แล้วก็ไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ

~ ความเข้าใจความจริงเท่านั้นมีค่าที่สุดในชีวิตที่น้อยมาก ไม่มีใครรู้ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ แต่ถ้าสามารถตรงเดี๋ยวนี้เข้าใจขึ้นเดี๋ยวนี้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ต่อไปก็ไม่ผิด แล้วก็เป็นผู้ที่รู้ประโยชน์จริงๆ ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ ด้วยเหตุนี้ จึงฟังธรรม

~ วัดต้องเป็นที่ที่สงบ วัดจะเป็นที่ขายของ จะเป็นที่สนุกสนานเฮฮา มีมหรสพต่างๆ ไม่ได้ เพราะถ้ามีสิ่งต่างๆ เหล่านั้น นั่น ไม่ใช่วัด ต้องรู้ด้วย

~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่จะมีในวันนี้ ก็คือ ความเข้าใจธรรม นั่นแหละเป็นบุญ ไม่ใช่เราด้วย

~ การฟังธรรม ไม่รีบร้อน เพราะอะไร? เพราะสะสมความไม่รู้มามากในสังสารวัฏฏ์ หนาแน่นด้วยความไม่รู้ แล้วจะให้รู้ทันที เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ถึงแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสว่าธรรมทั้งหลายไม่ใช่เรา ก็ยังคงเป็นเราเหนียวแน่นขึ้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ด้วยเหตุนี้ จึงต้องเริ่มรู้ว่าความเห็นถูกความเข้าใจถูกมาจากการได้ฟังธรรม ต้องเป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

~ อบรมคุณความดีที่จะเข้าใจพระธรรมแล้วก็สามารถที่จะค่อยๆ ละสิ่งที่ไม่ดีและรู้ขึ้นจนกระทั่งความไม่รู้นั้นหมดไป โลกสงบแน่นอน ไม่มีใครทำทุจริต เพราะว่าได้ขัดเกลากิเลส

~ อิติปิ โส ภควา (คำแปล ก็คือ แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ...) แต่ความหมาย ก็คือว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม จะไม่รู้จักเลยว่า ท่านผู้นี้บุคคลนี้ เป็นผู้ที่บำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลก อย่างหาผู้ใดเปรียบไม่ได้เลย เพราะสามารถทำให้ (จากที่มี) ความไม่รู้ที่หนาแน่นจมอยู่ในความไม่รู้ ได้สามารถค่อยๆ เข้าใจ แล้วก็ไตร่ตรองอีกว่าจริงไหม? ถ้าจริงแล้ว สมควรไหมที่จะได้ฟังต่อไป?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจ ถึง ๔๕ พรรษา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน แม้แต่คำว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ (อิติปิ) ส่องถึงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาคุณ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้แต่กล่าวว่า “แม้เพราะเหตุนี้ๆ ” แต่เมื่อถามว่า เหตุนี้ คือ อะไร ก็ตอบไม่ได้

~ ยินดีด้วยกับกุศลของทุกท่านที่ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม จะเข้าใจมากน้อยประการใด จะมั่นคงขึ้นประการใด ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน ซึ่งไม่มีเรา ไม่มีตัวตน แต่เป็นอนัตตา คือ เป็นธรรม (ที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน) แม้ความเข้าใจ ก็เป็นธรรม ความไม่เข้าใจ ก็เป็นธรรม ทุกอย่างไม่เว้นเลย




...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 11 ส.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 12 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ