ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๖๙

 
khampan.a
วันที่  16 ส.ค. 2563
หมายเลข  32659
อ่าน  2,074

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๖๙ * *


~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้อง ว่า ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์แล้ว สัตว์โลก ไม่ว่าใคร ไม่ว่าจะเป็นเทพ จะเป็นพรหม เป็นใครทั้งหมด ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ต้องไตร่ตรองเพื่อที่จะได้ไม่ลืมในความเป็นจริงของธรรม

~ ทำไมเราต้องกล่าวถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า? เพื่อเตือนให้รู้ว่า ต้องฟังพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ได้สิ่งใดมาจากใคร เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือความเข้าใจถูก ควรเคารพในบุคคลนั้นไหม? อย่างยิ่ง ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงเป็นที่เคารพบูชาของทั้งมนุษย์เทวดาทั้งหมด

~ ที่กล่าวถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเตือนให้ระลึกถึงธรรม (สิ่งที่มีจริง) เดี๋ยวนี้ พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงประจักษ์แจ้งความจริงแล้วก็รู้ว่า สิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงนี้ด้วย เพราะสัตว์โลกไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ด้วยตัวเอง

~ ถ้า (ภิกษุ) มีความมั่นคงว่าจะขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ มีหรือที่บุคคลนั้นจะไม่ศึกษาพระธรรมความเคารพ ไม่ประพฤติผิดจากพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่า ยังเป็นผู้มีกิเลสอยู่ จะต้องระมัดระวังที่จะศึกษาทั้งพระธรรมและพระวินัย เพราะเหตุว่า เมื่อเข้าใจพระธรรมแล้ว ปัญญาที่เข้าใจนั้น ก็จะทำให้เห็นคุณของพระวินัยทุกข้อ และเห็นประโยชน์ของการที่จะปฏิบัติตามด้วย

~ พระวินัยลึกซึ้งโดยกิจ ไม่ว่าจะเป็นกิจเล็ก กิจใหญ่ประการใดก็ตามของบรรพชิตแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้โดยละเอียด ด้วยพระปัญญาที่เห็นว่า กิจใดสมควรแก่เพศบรรพชิต และกิจใดไม่สมควรแก่เพศบรรพชิต เพราะฉะนั้น การที่ผู้ใดจะเลื่อมใสก็ต้องเลื่อมใสโดยการพิจารณาความลึกซึ้งของพระวินัยว่า ลึกซึ้งโดยกิจที่สมควรของบรรพชิต ซึ่งต่างกับกิจของฆราวาส

~
การเป็นอยู่ มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เป็นคนนี้ ประโยชน์สูงสุดในชีวิตคือเข้าใจความจริง เพราะจากโลกนี้ไปแล้ว แล้วจะไปไหน ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้

~
ถ้าเข้าใจถูกต้อง ก็จะรู้ว่า ไม่มีเรา ก็ไม่มีเขา ก็มีความเข้าใจ ในความเป็นธรรมที่เลว ธรรมที่ดี ตรงขึ้น แล้วจะไปโกรธธรรมที่เลวหรือ? เพราะกำลังโกรธก็เลวแล้ว ไม่ต้องไปไกลถึงคนอื่น

~
ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่า เมตตาเป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับโทสะ ก็จะไม่คิดที่จะเจริญเมตตา เพราะเหตุว่าเมตตาก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดง่าย แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรมและเห็นโทษของอกุศลธรรมจริงๆ แล้วก็จะรู้ได้ว่า ถ้ายังคงมีอกุศลมากมาย การที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาดไม่เกิดอีก) นี่ก็ยากแสนยากที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น ในเรื่องของการฟังพระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ที่จะต้องฟังแล้วพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองเพื่อประโยชน์อันแท้จริง

~
กุศล เหมือนเพื่อนที่จะอำนวยความสุขสะดวกสบาย ความสุข เกื้อกูลอุปการะให้คุณทุกประการ

~
ศัตรูของทุกท่านไม่ใช่อยู่ข้างนอก หรือว่าอยู่ภายนอกเลย แต่ว่าอยู่ภายในและใกล้ชิดที่สุด คือ ทุกขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้น เป็นปฏิปักษ์ (ข้าศึก) เป็นศัตรู ไม่ใช่มิตร

~
กุศลธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีโทษ เช่น เมตตาเมื่อเกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เกิดความเดือดร้อนเลย แต่ตรงกันข้าม ทำให้เกิดความสบายใจ เพราะไม่ดูหมิ่น ไม่รังเกียจคนอื่น แต่มีความเป็นเพื่อน มีความเป็นมิตร พร้อมที่จะอุปการะเกื้อกูลอย่างจริงใจ

~
ความเห็นผิดน่ากลัวและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แล้วก็ก้าวล่วงได้ยาก ถ้าเกิดยึดถือในความเห็นผิดนั้นแล้ว ที่จะปล่อยจากความเห็นผิดนั้น ยาก เพราะว่าความเห็นผิดเกิดขึ้นขณะใด ในขณะนั้นจะเห็นถูกไม่ได้ แต่ขณะใดที่ความเห็นถูกเกิดขึ้น ขณะนั้นจะรู้ว่า ความเห็นอย่างไร ผิด และความเห็นอย่างไร ถูก แต่ขณะใดก็ตาม ซึ่งความเห็นผิดกำลังเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า เป็นความเห็นผิด เพราะฉะนั้น การที่จะก้าวล่วงความเห็นผิด เป็นการก้าวล่วงได้ยาก

~
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทุกอย่างที่มีจริง ไม่ว่าจะปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทั้งหมดเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

~ คนโกรธ เป็นผู้เสียหาย เพราะอกุศลทำร้ายจิต ก่อนที่จะทำร้ายคนอื่น ก็ทำร้ายตนเอง ขณะที่ทำร้ายคนอื่น ก็คือ ทำร้ายตนเองด้วยอกุศลของตนเอง และเมื่อถึงคราวที่อกุศลให้ผล ก็ต้องให้ผลกับตนเองเท่านั้น เพราะเป็นอกุศลของตนเอง ไม่ใช่ของคนอื่น

~ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น ต้องมีเหตุที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นเพราะฉะนั้น จะไม่ให้โกรธได้ไหม? โกรธแล้วเห็น ชัดๆ เลย บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วพอหายโกรธก็บังคับบัญชาไม่ได้อีก ให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสิ่งที่มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นเป็นไปตามปัจจัย (ปัจจัย คือ สิ่งที่อุปการะเกื้อหนุนหรือเป็นเหตุให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไป)

~ เมื่อเกิดมาด้วยความไม่รู้ และก็ตายไปด้วยความไม่รู้ ก็เกิดอีกด้วยความไม่รู้ และก็ตายไปด้วยความไม่รู้ จะหมดความไม่รู้ได้ก็ต่อเมื่อความรู้ค่อยๆ เกิดขึ้น เช่น เวลาที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่รู้เรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่พอฟังแล้วก็เริ่มรู้ ขณะใดที่รู้ ขณะนั้นก็ละความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าความรู้เรื่องของสภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจจะเพิ่มขึ้น

~
กิจของปัญญา คือ ละความไม่รู้

~
ในขณะที่กำลังรู้จักอกุศลของคนอื่น ต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาจิตด้วยว่า ขณะนั้นเกิดเมตตา หรือว่า เกิดอกุศล ในขณะที่เห็นอกุศลของคนอื่น ถ้าจะเป็นผู้ที่ขาดทุนก็คือว่า เมื่อเห็นอกุศลของคนอื่นแล้วตนเองเกิดอกุศล แต่ถ้าจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์ ก็คือว่า เมื่อเห็นอกุศลของคนอื่นแล้ว ก็คือว่าเกิดเมตตา เพราะเหตุว่าแม้ตนเองก็มีอกุศลอย่างนั้นเหมือนกัน

~
สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว ไม่เปลี่ยน ได้ยินต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เห็นต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คิดนึกต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สติต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สุขต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทุกข์ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดตามความพอใจได้ แต่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยเฉพาะของสภาพธรรมนั้นๆ

~
การฟังพระธรรมจะต้องพิจารณาถึงจุดประสงค์ และก็เป็นผู้ที่ตรง เป็นผู้ที่มั่นคงในเหตุผลจริงๆ เพื่อการประพฤติปฏิบัติจะได้ไม่คลาดเคลื่อน และไม่คล้อยตามในสิ่งที่ไม่เป็นเหตุและเป็นผล เพราะเหตุว่าถ้าไม่พิจารณา ไม่เป็นผู้ที่มั่นคงในเหตุผลจริงๆ การเชื่อในมงคลตื่นข่าวต่างๆ ที่ไม่ใช่เหตุผล ก็เป็นทางที่จะทำให้ค่อยๆ ไกลออกไปจากข้อปฏิบัติที่ถูกต้องทีละเล็กทีละน้อย ในที่สุดก็ไม่สามารถที่จะพิจารณาได้ว่า ข้อปฏิบัติใดเป็นข้อปฏิบัติที่ถูก ที่จะทำให้ปัญญาเจริญ และข้อปฏิบัติใดเป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ทำให้ปัญญาเจริญ

~
ถ้าไม่มีหิริโอตตัปปะ จะฟังพระธรรมไหม? ทำไมถึงฟัง ฟังเพื่อที่ต้องการจะเข้าใจธรรม คือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ซึ่งไม่มีโอกาสจะรู้ได้ ถ้าไม่ฟังพระธรรม ในขณะที่เห็นอันตรายของความไม่รู้ ต้องการที่จะพ้นจากความไม่รู้ ต้องการเจริญความรู้ขึ้น ในขณะนั้นต้องมีหิริโอตตัปปะที่เห็นภัย แล้วก็เห็นโทษ แล้วก็กลัว ละอายต่ออกุศล คือ ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

~ ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ทั้งหมด ไม่มีเรา ฟังพระธรรม เพื่อให้เข้าใจถูกต้อง เพราะถ้าไม่ฟัง ไม่มีโอกาสจะรู้ความจริงเลยว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีเราแล้วก็อยู่ไปเรื่อยๆ ในสังสารวัฏฏ์โดยยึดถือสิ่งที่เกิดดับว่าเป็นเราไปเลย แต่ความจริงไม่ใช่เรา

* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๖๘





...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มกร
วันที่ 16 ส.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
saman_pacific
วันที่ 16 ส.ค. 2563

กราบขอบพระคุณ.

และขออนุโทนาครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kullawat
วันที่ 17 ส.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nattawan
วันที่ 17 ส.ค. 2563

ศัตรูของทุกท่านไม่ใช่อยู่ข้างนอก หรือว่าอยู่ภายนอกเลย แต่ว่าอยู่ภายในและใกล้ชิดที่สุด คือ ทุกขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้น เป็นปฏิปักษ์ (ข้าศึก) เป็นศัตรู ไม่ใช่มิตร

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
siraya
วันที่ 17 ส.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 17 ส.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
natthayapinthong339
วันที่ 18 ส.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ