[คำที่ ๔๖๙] สพฺเพ ธมฺมา

 
Sudhipong.U
วันที่  18 ส.ค. 2563
หมายเลข  32665
อ่าน  759

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สพฺเพ ธมฺมา”

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

สพฺเพ ธมฺมา อ่านตามภาษาบาลีว่า สับ – เพ – ดำ – มา เป็นคำ ๒ คือ คำว่า สพฺเพ (ทั้งปวง) และ คำว่า ธมฺมา (สิ่งที่มีจริงทั้งหลาย, ธรรมทั้งหลาย) เขียนเป็นไทยได้ว่า สัพเพ ธัมมา หมายถึง สิ่งที่มีจริงทั้งหลาย ทั้งปวง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของตนๆ ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน คำว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น ครอบคลุมทั้งสภาพธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง (สังขตธรรม ซึ่งได้แก่ จิต เจตสิก และรูป) และสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น (อสังขตธรรม คือ พระนิพพาน) ทั้งหมดทั้งปวงนั้น เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งเมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

ข้อความในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส แสดงความเป็นจริงของคำว่า สพฺเพ ธมฺมา ดังนี้
บทว่า สพฺเพ ธมฺมา ได้แก่ หมายความครอบคลุมทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม ทั้งหมด

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง หมายความว่า เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ สิ่งที่มีจริงที่พระองค์ทรงแสดง ทรงตรัสรู้อย่างแจ่มแจ้งตามความเป็นจริงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวง พระปัญญาของพระองค์ไม่มีผู้ใดเปรียบได้ ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงๆ และเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่เคยไม่รู้ แม้ว่าจะมีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน มีทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วก็ปรากฏด้วย เช่น ทางตามีสภาพธรรมปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นรูปธรรม แต่ความไม่รู้ก็ยึดถือสภาพธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอยู่ในขณะนี้ รูปธรรมที่ปรากฏทางตาเป็นสิ่งที่เกิดดับ และนามธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ คือเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียวแล้วก็ดับ แต่เพราะสภาพธรรมเกิดและดับอย่างรวดเร็ว และมีสภาพธรรมอื่นเกิดดับสืบต่ออยู่ ความไม่รู้ในความเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมแต่ละขณะ ทำให้มีการยึดถือสัณฐานหรืออาการของสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเลย เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละลักษณะเท่านั้น สิ่งที่มีจริง หรือธรรม เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว ประมวลด้วยคำว่า สพฺเพ ธมฺมา (สัพเพ ธัมมา) คือ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง มี ๔ อย่าง ได้แก่

จิต เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ จิตแม้จะมีหลากหลายประเภท ตามเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วยบ้าง หลากหลายตามอารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้บ้าง หลากหลายตามภูมิคือระดับขั้นของจิตบ้าง แต่ก็มีลักษณะเดียวคือมีการรู้แจ้งอารมณ์เป็นลักษณะ ตัวอย่างของจิต เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย เป็นต้น

เจตสิก เป็นนามธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ (คือ ในภูมิที่มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม) ก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิต ตัวอย่างเจตสิก เช่น ผัสสะ (สภาพธรรมที่กระทบอารมณ์ที่จิตรู้) เวทนา (ความรู้สึก) โลภะ (ความติดข้องต้องการ) โทสะ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ) ศรัทธา (สภาพที่ผ่องใส) สติ (ความระลึกเป็นไปในกุศลธรรม) หิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) เป็นต้น

รูป หรือ รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดจากสมุฏฐานต่างๆ กล่าวคือ บางรูปเกิดขึ้นเพราะกรรมมีกรรมเป็นธรรมที่ก่อตั้งให้รูปนั้นเกิดขึ้น บางรูปเกิดขึ้นเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน บางรูปเกิดขึ้นเพราะอุตุ ความเย็นความร้อนเป็นสมุฏฐาน บางรูปเกิดเพราะอาหารเป็นสมุฏฐาน ตัวอย่างของรูปธรรม เช่น สี เสียง กลิ่น รส ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม จักขุปสาทะ (ตา) โสตปสาทะ (หู) ฆานปสาทะ (จมูก) ชิวหาปสาทะ (ลิ้น) กายปสาทะ (กาย) เป็นต้น

นิพพาน เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม เป็นธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ เป็นสภาพธรรมที่ดับทุกข์ดับกิเลส เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับสภาพธรรมที่เกิดดับอย่างสิ้นเชิง นิพพาน เป็น อสังขตธรรม คือไม่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น

สำหรับในชีวิตประจำวัน ในแต่ละขณะ จิต เจตสิก รูป กำลังเกิดดับอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง จึงยึดถืออาการของรูปและนาม ซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน หรือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนี้รูปกำลังเกิดดับทั้งภายในที่ตัวเองและภายนอกที่ปรากฏที่เห็นทางตา หรือที่ได้ยินทางหู เป็นต้น แต่ก็ยังไม่ได้ประจักษ์ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เป็นรูปแต่ละลักษณะ เมื่อไม่รู้ลักษณะของธรรมตามความเป็นจริง จึงมีการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏโดยอาการโดยสัณฐานว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เมื่อมีการศึกษาธรรมรู้หนทางที่จะอบรมเจริญปัญญา ก็จะเป็นเหตุให้ค่อยๆ ศึกษาลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าลักษณะของธรรมจะปรากฏโดยสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และเมื่อปัญญาอบรมเจริญขึ้นก็สามารถที่จะประจักษ์แม้ความเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ จึงจะไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนจริงๆ เป็นแต่เพียงธรรมแต่ละลักษณะตามที่ได้ศึกษามาตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่า ตราบใดที่ปัญญายังไม่ประจักษ์แจ้งในสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนของจิต เจตสิก รูป ยังไม่ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรม ตราบนั้นก็ยังเห็นสภาพธรรมทั้งหลายว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยังมีความยึดถือว่า เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นสิ่งต่างๆ และอกุศลธรรมก็ตามมาอีกมากมายเพราะไม่รู้ความจริง และถ้ายังไม่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ก็ไม่สามารถดำเนินไปถึงการประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ คือ พระนิพพาน ได้เลย

หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรม เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายความไม่รู้ ละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคลได้ในที่สุด ดังนั้น การตั้งต้นในการฟังในการศึกษาให้เข้าใจว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ย่อมเป็นประโยชน์เกื้อกูลตั้งแต่ต้น เมื่อได้ฟังได้ศึกษาต่อไปด้วยความตรงและจริงใจ ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ไม่ดำเนินไปในหนทางที่ผิด


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 18 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ