ติตติรชาดก ว่าด้วยบาปที่เกิดจากความจงใจ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ ๕๐๖
๙. ติตติรชาดก
ว่าด้วยบาปที่เกิดจากความจงใจ
[๕๗๐] ข้าพเจ้าเป็นอยู่สบายดีหนอ และได้บริโภคอาหารตามชอบใจ แต่ว่าข้าพเจ้าตั้งอยู่ในระหว่างอันตรายแท้ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ คติของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรหนอ.
[๕๗๕] ดูก่อนปักษี ถ้าใจของท่านไม่น้อมไปเพื่อกรรมอันเป็นบาป บาปย่อมไม่แปดเปื้อนท่านผู้บริสุทธิ์ ไม่ขวนขวายกระทำบาปกรรม.
[๕๗๖] นกกระทาเป็นอันมากพากันมาด้วยคิดว่า ญาติของเราจับอยู่ นายพรานนกย่อมได้รับกรรม เพราะอาศัยข้าพเจ้า ใจของข้าพเจ้ารังเกียจอยู่ในเรื่องนั้น
[๕๗๗] ถ้าใจของท่านไม่คิดประทุษร้าย กรรมที่นายพรานอาศัยท่านกระทำแล้วก็ไม่ติดท่านบาปย่อมไม่แปดเปื้อนท่านผู้บริสุทธิ์ มีความขวนขวายน้อย.
จบ ติตฺติรชาดกที่ ๙
อรรถกถาติตฺติรชาดกที่ ๙
พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยนครโกสัมพี ประทับอยู่ในวทริการาม ทรงปรารภพระราหุลเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สุสุขํ วต ชีวามิ ดังนี้
เรื่องราวได้พรรณนาไว้พิสดารแล้วในติปัลลัตถชาดก ในหนหลังนั่นแล แต่ในที่นี้ ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงคุณความดีของท่านผู้มีอายุนั้น ในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลายพระราหุลเป็นผู้ใครต่อการศึกษา มีความรังเกียจบาปกรรม อดทนต่อโอวาท. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ราหุลก็เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษามีความรังเกียจบาปธรรม อดทนต่อโอวาทแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ พอเจริญวัยแล้ว ก็เรียนศิลปะทั้งปวงในเมืองตักกศิลา แล้วออกบวชเป็นฤๅษีในหิมวันตประเทศ ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดแล้วเล่นฌานอยู่ในไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์ ได้ไปยังบ้านปัจจันตคามแห่งหนึ่ง เพื่อต้องการเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว. คนทั้งหลาย ในบ้านปัจจันตคามนั้นเห็นพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใสจึงให้สร้างบรรณศาลาในป่าแห่งหนึ่งแล้วนิมนต์ให้อยู่ บำรุงด้วยปัจจัยทั้งหลาย
ครั้งนั้นมีนายพรานนกคนหนึ่งในบ้านนั้น จับนกกระทำเป็นนกต่อได้ตัวหนึ่ง ให้ศึกษาอย่างดี แล้วใส่กรงเลี้ยงไว้ นายพรานนกนั้นนำนกกระทาต่อนั้นไปป่า แล้วจับพวกนกกระทำซึ่งพากันมา เพราะเสียงนกกระทำต่อนั้น เลี้ยงชีวิตอยู่
ครั้งนั้น นกกระทานั้นคิดว่า ญาติของเราเป็นอันมากพากันพินาศ เพราะอาศัยเราผู้เดียว นั้นเป็นบาปของเรา จึงไม่ส่งเสียงร้อง นายพรานนกนั้นรู้ว่านกกระทำต่อนั้นไม่ร้อง จึงเอาแขนงไม้ไผ่ตีศีรษะนกกระทำต่อนั้น. นกกระทาจึงร้องเพราะอาดูรเร่าร้อนด้วยความทุกข์
นายพรานนกนั้นอาศัยนกกะทานั้น จับนกกระทาทั้งหลายมาเลี้ยงชีวิต ด้วยประการอย่างนี้. ลำดับนั้น นกกระทานั้นคิดว่า เราไม่มีเจตนาว่า นกเหล่านี้จงตาย แต่กรรมที่อาศัยเป็นไปคงจะถูกต้องเรา เมื่อเราไม่ร้อง นกเหล่านี้ก็ไม่มา ต่อเมื่อเราร้องจึงมา นายพรานนกนี้จับพวกนกที่มาแล้วๆ ฆ่าเสีย ในข้อนี้ บาปจะมีแก่เราหรือไม่หนอ
จำเดิมแต่นั้น นกกระทานั้นคิดว่า ใครหนอจะตัดความสงสัยนี้ของเราได้ จึงเที่ยวใคร่ครวญหาบัณฑิตเห็นปานนั้น. อยู่มาวันหนึ่ง พรานนกนั้นจับนกกระทำได้เป็นอันมากบรรจุเต็มกระเช้า คิดว่าจักดื่มน้ำ จึงไปยังอาศรมของพระโพธิสัตว์ วางกรงนกต่อนั้นไว้ในสำนักของพระโพธิสัตว์ ดื่มน้ำแล้วนอนที่พื้นทรายหลับไป. นกกระทำรู้ว่านายพรานนั้นหลับ จึงคิดว่า เราจะถามความสงสัยของเรากะดาบสนี้ เมื่อท่านรู้จักได้บอกเรา เมื่อจะถามดาบสนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าพเจ้าเป็นอยู่สบายดีหนอ และได้บริโภคอาหารตามชอบใจ แต่ว่าข้าพเจ้าตั้งอยู่ในระหว่างอันตรายแท้ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ คติของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรหนอ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุสุขํ วต ความว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าอาศัยนายพรานนกผู้นี้เป็นอยู่สบายดี.
บทว่า ลภามิเจว ความว่า ข้าพเจ้าย่อมได้แม้เพื่อจะบริโภคของควรเคี้ยว ควรบริโภคตามความชอบใจ.
บทว่า ปริปนฺเถว ติฏฺฐามิ ความว่า ก็แต่ว่า ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้พากันมาแล้วๆ ด้วยเสียงของข้าพเจ้า ย่อมฉิบหายไปเพราะอันตรายใด ข้าพเจ้าตั้งอยู่ในอันตรายนั้น. ด้วย
บทว่า กา นุ ภนฺเต นี้ นกกระทำถามว่า ท่านผู้เจริญ คติของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรหนอ คือว่า ความสำเร็จผลอะไรจักมีแก่ข้าพเจ้า.
พระโพธิสัตว์เมื่อจะแก้ปัญหาของนกกระทานั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ดูก่อนปักษี ถ้าใจของท่านไม่น้อมไปเพื่อกรรมอันเป็นบาป บาปย่อมไม่แปดเปื้อนท่านผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่ขวนขวายกระทำบาปกรรม
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาปสฺส กมฺมุโน ความว่า ถ้าใจของท่านไม่น้อมไปเพื่อประโยชน์แก่บาปกรรม คือไม่โน้มน้อมเงื้อมไปในการกระทำบาป.
บทว่า อปาวฏสฺส ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น บาปย่อมไม่แปดเปื้อน คือไม่ติดท่านผู้ไม่ขวนขวาย คือไม่ถึงการขวนขวายเพื่อต้องการทำบาปกรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ทีเดียว.
นกกระทำได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
นกกระทาเป็นอันมากพากันมาด้วยคิดว่าญาติของเราจับอยู่ นายพรานนกได้กระทำกรรม คือปาณาติบาต เพราะอาศัยข้าพเจ้า ใจของข้าพเจ้ารังเกียจอยู่ในเรื่องนั้น.
คำที่เป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าข้าพเจ้าไม่ทำเสียง นกกระทานี้จะไม่มา แต่เมื่อข้าพเจ้ากระทำเสียง นกกระทาจำนวนมากนี้มา ด้วยคิดว่า ญาติของพวกเราจับอยู่ นายพรานจับนกกระทำตัวที่มานั้นฆ่าอยู่ ชื่อว่าย่อมถูกต้อง คือได้ประสบกรรมคือปาณาติบาตนี้ เพราะอาศัยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ใจของข้าพเจ้าจึงรังเกียจคือถึงความรังเกียจอย่างนี้ว่า นายพรานกระทำบาป เพราะอาศัยเรา บาปนี้จะมีแก่เราไหมหนอ.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
ถ้าใจของท่านไม่คิดประทุษร้ายไซร้กรรมที่นายพรานอาศัยท่านกระทำแล้วย่อม ไม่ถูกต้องท่าน บาปกรรมย่อมไม่แปดเปื้อนท่านผู้บริสุทธิ์ ผู้มีความขวนขวายน้อย.
คำอันเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า ถ้าใจของท่านไม่ประทุษร้ายเพราะอาการทำบาปกรรม คือ ไม่โน้มไม่โอน ไม่เงื้อมไปในการทำบาปกรรมนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น กรรมแม้ที่นายพรานอาศัยท่านกระทำ ย่อมไม่ถูกต้องคือไม่แปดเปื้อนท่าน เพราะบาปนั้นย่อมไม่แปดเปื้อน คือย่อมไม่ติดจิตของท่านผู้มีความขวนขวายน้อย คือไม่มีความห่วงใยในการทำบาป ผู้เจริญคือผู้บริสุทธิ์ เพราะท่านไม่มีความจงใจในปาณาติบาต
พระมหาสัตว์ให้นกกระทำเข้าใจแล้ว ด้วยประการอย่างนี้ ฝ่ายนกกระทานั้นก็ได้เป็นผู้หมดความรังเกียจสงสัย เพราะอาศัยพระมหาสัตว์นั้น. นายพรานตื่นนอนแล้วไหว้พระโพธิสัตว์ ถือเอากรงนกกระทาหลีกไป
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า นกกระทำในครั้งนั้น ได้เป็นพระราหุลในบัดนี้ ส่วนพระดาบสในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล
จบ อรรถกถาติตฺติรชาดกที่ ๙