รูปพรหมภูมิ ไม่มีจิตและจิตไปอยู่ที่ไหนครับ
ผมฟังซีดี พื้นฐานอภิธรรมแผ่นที 10 มีบางตอนวิทยากรกล่าวว่า ในรูปพรหมมีแต่จักษุทวารกับโสตทวาร แล้วถ้าไม่มีจิต อะไรจะรับรู้ทางทวารดังกล่าวครับ และในอรูปพรหม ไม่มีรูป มีแต่จิต แล้วจะรับรู้ผ่านทวารอะไรครับ ยังสงสัย รบกวนตอบรายละเอียดให้ทราบด้วยครับ
ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
รูปพรหม เกิดจากกุศลที่มีกำลังที่เป็นฌานจิต ที่ดับ ระงับ ความพอใจ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส ชั่วขณะทีได้ฌาน สงบ ระงับ กามฉันทะได้ในขณะนั้น ครับ
ดังนั้น เมื่อเกิดเป็นรูปพรหมแล้ว พรหม จึงมีเพียง จักขุปสาท คือ ตา และ โสตปสาท คือ หู แต่ไม่มี ฆานปสาท คือ จมูก ชิวหาปสาท คือ ลิ้น และ ไม่มี กายปสาทรูป คือ กายที่เป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วตัว ซึ่งในความละเอียดนั้น จะต้องเข้าใจก่อนครับว่า รูปเหล่านี้ เช่น ฆานปสาทรูป ที่สามารถกระทบกลิ่นได้ ไม่ใช่ จมูกทั้งแท่ง เป็นรูปจมูกนะครับ แต่ ฆานปสาทรูป อาศัย กลุ่มก้อนที่มีสัณฐานที่เราเห็นเป็นจมูก อาศัยอยู่ ซึ่งสามารถมองห็นด้วยตา ดังนั้น ผู้ที่มีจมูก เป็นรูปจมูก แต่ไม่มีฆานปสาทรูปก็ได้ ก็คือ ไม่ได้กลิ่น แม้จะมีรูปจมูก ครับ
เพราะฉะนั้น พระพรหม ก็ไม่มีฆานปสาทรูป แต่มีรูปจมูก นะครับ ไม่ใช่รูปร่างหน้าตา พิการ คือ ไม่มีรูปจมูก ก็ไม่ใช่ ครับ เช่นเดียว กับกายปสาทรูป เป็นรูปที่ซึมซาบตามรูปร่างกาย พระพรหมท่านก็มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ และก็มีร่างกายด้วย แต่ไม่มีรูป ที่เป็นกายปสาทรูป ที่ซึมซาบตามร่างกายเลย ครับ
เพราะฉะนั้น เราจะต้องแยกว่า กายปสาทรูป กับ รูปร่างกาย ที่ตั้งขึ้น เป็นคนละส่วนกันเหมือนกับ ตาทั้ง ตาขาว ตาดำ ก็ไม่ใช่จะเป็นจักขุปสาทรูป แต่ จักขุปสาทรูป เป็นรูปเล็กๆ ที่อาศัย ตาขาว ตาดำ ที่สมมติขึ้น มีอยู่ในนั้น ครับ เพราะฉะนั้น พระพรหมมีร่างกาย ที่ประชุมรวมกันของ มหาภูตรูป ๔ และรูปอื่นๆ ที่เป็น อวินิโภครูป รวมเป็น ๘ แต่ รูปร่างกายนั้นที่เป็นการประชุมของรูปต่างๆ ไม่มี กายปสาทรูป ซึมซาบอยู่เลย ครับ
เพราะฉะนั้น พระพรหมมีกาย และ ตา จักขุปสาทรูป ก็ตั้งอยู่ที่กาย ที่เรียกว่า มังสจักษุ ตาทั้งหมด และ หู ก็มีที่ตั้ง คือ โสตปสาทรูป ก็อาศัยรูปร่างกาย คือ มีที่ตั้ง เพราะฉะนั้น รูปร่างกาย เป็น รูปต่างๆ ทีเป็นอวินิโภครูป ๘ ส่วน ปสาทรูปต่างๆ ก็ไม่ใช่รูปร่างกาย ครับ
ส่วนเหตุผลที่ไม่มีกายปสาทรูป และไม่มี ฆานปสาทรูป ชิวหาปสาทรูป มีแต่ จักขุปสาทรูป และโสตปสาทรูป เพราะพระพรหม ได้ฌานจึงเกิดเป็นพรหม สงบ ระงับจากกามฉันทะ ความยินดีพอใจ จึงไม่ใช่พวกที่เสพกาม เหมือนเทวดา และมนุษย์ที่จะต้องมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ครบทั้งหมด เช่น ท่านไม่มีลิ้น คือ ชิวหาปสาท (แต่มีรูปร่างลิ้นนะครับ) เพราะมีปิติเป็นอาหาร ไม่ต้องมาดื่ม กินดังเทวดา และมนุษย์ ครับ
อรูปพรหมบุคคล คือบุคคลที่อบรมอรูปฌานกุศลจิต เมื่อฌานจิตไม่เสื่อมก่อนจุติจิตเกิด หลังจากตายแล้ว อรูปฌานวิบากจิตซึ่งเป็นผลของอรูปฌานกุศลจิต จะเกิดขึ้นทำกิจปฏิสนธิในอรูปพรหมภูมิ เป็นอรูปพรหมบุคคลตามกำลังของอรูปฌาน
อรูปาวจรวิบากจิตมี ๔ ดวง คือ
๑. อากาสานัญจายตนวิบากจิต เป็นอรูปฌานวิบากจิตดวงที่ ๑
๒. วิญญาณัญจายตนวิบากจิต เป็นอรูปฌานวิบากจิตดวงที่ ๒
๓. อากิญจัญญายตนวิบากจิต เป็นอรูปฌานวิบากจิตดวงที่ ๓
๔. เนวสัญญานาสัญญายตนวิบากจิต เป็นอรูปฌานวิบากจิตดวงที่ ๔
เมื่อ อรูปาวจรวิบากจิตดวงใดดวงหนึ่งปฏิสนธิเกิดขึ้นเป็นอรูปพรหมบุคคลในอรูปพรหมภูมิตามขั้นของอรูปฌานจิตนั้นแล้ว ก็ดำรงความเป็นอรูปพรหมบุคคลนั้นๆ จนกว่าจะจุติเมื่อสิ้นอายุของพรหมภูมินั้น
ระหว่างที่เป็นอรูปพรหมบุคคลนั้น ไม่มีรูปขันธ์ใดๆ เกิดเลย มีแต่นามขันธ์ ๔ เท่านั้น จึงเป็นอรูปพรหมบุคคล ดังนั้นจึงไม่มี จักขุปสาท (ตา) หู จมูก ลิ้น กาย จึงไม่มีวิบากทางปัญจทวารเลยครับ ไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้กระทบสัมผัส ที่สำคัญ แม้ ตทาลัมพนะจิตที่เป็นวิบากก็ไม่เกิดขึ้นในรูปพรหมและอรูปพรหมเช่นกันครับ
เมื่อคราวที่ท่านกาฬเทวิลดาบส ผู้เป็น ดาบสที่พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดาของพระโพธิสัตว์ ที่ครั้งเมื่อพระโพธิสัตว์ยังเล็ก พระราชาต้องการให้พระโพธิสัตว์ไหว้ดาบส แต่กลับเป็นพระโพธิสัตว์ไปยืนอยู่เหนือหัวของกาฬเทวิลดาบส และเมื่อกาฬเทวิลดาบส ตรวจดูลักษณะและท่านเห็นอนาคต ท่านก็รู้ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็หัวเราะ ดีใจ แต่เมื่อระลึกถึงว่าตนเองจะได้พบพระพุทธเจ้าหรือไม่ ก็รู้ว่าตัวเองจะต้องตายและไปเกิดในอรูปพรหมภูมิที่พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ก็ไม่สามารถโปรดได้ ท่านก็ร้องไห้ครับ
จะเห็นไหมครับว่า หากเราเห็นคุณค่าเมื่อได้เกิดในโลกนี้ ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบศาสนาของพระพุทธเจ้าและที่สำคัญ มีตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ มีรูป คือ ตา และ หู เป็นต้น ที่สามารถศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมได้ สามารถอบรมปัญญาได้ ต่างจากอรูปพรหมที่ไม่มีรูป ไม่มี ตา ไม่มี หู เป็นต้น ก็ไม่สามารถอบรมปัญญาได้เลย ที่สำคัญที่สุด แม้จะอายุุยืนยาวเท่าไหร่ ก็ไม่เที่ยงเลย ต้องกลับมาวนเวียนเป็นกำเนิดต่างๆ อย่างนี้ ผู้ที่ศึกษาธรรม จึงควรเห็นประโยชน์ว่าได้พบพระธรรมและ มีตา มีหู มีรูปแล้ว ควรเห็นประโยชน์คือการศึกษาพระธรรม เพราะเราไม่รู้เลยว่าต่อไปชาติไหนจะได้พบพระธรรมหรือไม่ จะได้เกิดเป็นมนุษย์หรือไม่ หรืออาจจะตาบอด หูหนวกก็ได้ ขณะนี้เป็นขณะที่ประเสริฐที่สามารถอบรมปัญญาได้ครับ อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป เพราะอาจต้องเดือดร้อนใจในภายหลังครับ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์มีตา มี หู มี มือ มีเท้า ควรใช้รูปเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์คือ การฟังพระธรรม การอ่านพระธรรม การใช้มือในการทำกุศล มีการให้ทานและช่วยเหลือผู้อื่น เป็นต้นครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด และค่อยๆ ไตร่ตรองในเหตุในผล เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ผู้ที่เกิดเป็นรูปพรหม ในรูปพรหมภูมิ ที่มีทั้งรูปและนาม ก็มี ที่มีเฉพาะรูปเท่านั้น ก็มี แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย รูปพรหมภูมิ มี ๑๖ ชั้น การเกิดในรูปพรหมภูมิ เป็นด้วยผลของการอบรมเจริญรูปฌาน เมื่อฌานไม่เสื่อมก่อนจุติ ก็ทำให้เกิดในรูปพรหมภูมิตามควรแก่ระดับของฌานที่ได้ เกิดเป็นรูปพรหม นั้น ที่มีทั้งรูปทั้งนาม ก็มีหรือเฉพาะที่ได้รูปปัญจมฌาน ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในนามธรรม ก็ทำให้เกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหม มีเฉพาะรูปธรรมอย่างเดียว ไม่มีนามธรรมเกิดขึ้นเป็นไปเลยตลอดระยะเวลาที่เป็นอสัญญสัตตาพรหมก็มี เพราะฉะนั้น ผู้ที่เกิดในรูปพรหมภูมิ (ยกเว้น อสัญญสัตตาพรหม เท่านั้น) มีนามธรรม และ รูปธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ดังนั้น มีปฏิสนธิจิต มีภวังคจิต และในที่สุดก็มีจุติจิต และมีรูปธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ด้วย แต่เฉพาะผู้ที่เป็นอสัญญาสัตตาพรหมเท่านั้น ที่ไม่มีนามธรรม
สำหรับผู้ที่เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล (พรหมที่ไม่มีรูป มีแต่นามธรรม คือ จิต และ เจตสิก เท่านั้น) ไม่มีรูปธรรมใดๆ เกิดขึ้นเลย แต่ก็มีจิต และ เจตสิกเกิดขึ้นเป็นไป อาศัยกันและกันเกิดขึ้น และ จิตที่ทำกิจปฏิสนธิในอรูปพรหมภูมิ คือ อรูปาวจารวิบาก เมื่อทำกิจปฏิสนธิ ก็ทำกิจภวังค์ รักษาภาพชาติความเป็นพรมหบุคคลนั้นไว้ จนกว่าจะจุติ สิ้นสุดจากความเป็นอรูปพรหมบุคคล เพราะฉะนั้น การรับผลของกรรมของอรูปพรหมบุคคล จึงไม่เกี่ยวข้องกับทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพราะไม่มีรูปธรรมเกิดขึ้น (แม้ทางใจก็ไม่มี) แต่ก็มีขณะที่เป็นผลของกรรม คือ ขณะที่ปฏิสนธิ ขณะที่เป็นภวังค์ และขณะที่จุติ ซึ่งเป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยไม่อาศัยทวารใดๆ ใน ๖ ทวารเลย
เรื่องภพภูมิอื่น ไม่ว่าจะเป็นรูปพรหมภูมิ หรือ อรูปพรหมภูมิ เป็นเรื่องที่ไกลตัวแต่ขณะนี้ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไปควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมเหล่านี้ ตามความเป็นจริง เพราะจิต เจตสิกและรูป ไม่ได้อยู่ในตำรา แต่มีจริงทุกขณะ ซึ่งจะต้องอาศัยการฟัง การศึกษา สะสมปัญญาไปตามลำดับ ธรรม เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้ที่ตั้งใจศึกษา เพื่อความเข้าใจจริงๆ เพราะสิ่งที่สามารถรู้ได้ สามารถเข้าใจได้ ก็คือสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ นั่นเอง ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ทั้งสองเป็นอย่างมากครับ
ผมก็ฟังมาเป็นสิบปีแล้วทิ้งไป พึ่งมาฟังใหม่เมื่ออายุหกสิบสองนี่เอง อยู่ๆ ก็นึกเห็นโทษภัยของอกุศล ที่จะต้องได้รับให้มาเวียนว่ายกันไป
ทุกวันนี้ ก็มีเวลาว่างมากเลยแต่ก็กิเลสนะครับ ทำให้ไม่ค่อยเจียดเวลามาฟังธรรมให้มาก
แต่ตอนนี้ เป็นบุญแล้วก็เห็นคุณค่าของการบรรยายธรรม ของ อ.สุจินฺต์และท่านวิทยากรทั้งหลาย เป็นอย่างมากเลยครับ พอฟังบ่อยเข้า ฟังอย่างตั้งใจเลย ก็ได้ผลจริง คือมีความเข้าใจ
ที่ท่านบรรยายมาทีละเล็กทีละน้อย และก็จากท่านที่ถามเรื่องต่างๆ กับท่านอาจารย์ ก็มีเรื่องที่ผมสงสัยตรงกัน ก็ได้รับคำอธิบายอย่างละเอียด ทำให้ผมเริ่มไม่ผิวเผินกับพระธรรม และทำความเข้าใจ ความหมายของแต่ละคำ ให้ถูกต้องลึกซึ้ง จนต้องกลับมาทบทวน คำต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังมา ที่ผมคิดว่าง่าย คิดว่าเข้าใ่จแล้ว ก็ต้องมาทบทวนใหม่หมด และเริ่มเข้าใจมากขึ้นด้วยทีละน้อย
ผมก็จะทำตามที่ท่านทั้งสองกล่าว คือ เมื่อมีอวัยวะครบ ผมก็จะใช้ชีวิตนี้ให้เกิดประโยชน์ ตั้งใจศึกษาพระธรรม จะไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่ทำให้เกิดปัญญารู้สภาพความจริงขณะที่ปรากฎนี้
มานั่งคิดดูแล้ว คนในโลกห้าพันกว่าล้านคน มีไม่กี่คนเลย ที่จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม และเข้าใจได้อย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง
ผมก็จะศึกษาแต่เรื่องที่ใกล้ตัวให้มากขึ้น ส่วนมากิเลสก็พาไปสนใจเรื่องไกลตัวที่เราสะสมที่จะอยากรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องของคนอื่น ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย
ขอบคุณที่เตือนสติครับ อ่านแล้วก็นึกขึ้นมาได้ทันที ตกใจมาก ว่าเวลาสติหลุด มันก็ไปไกลแสนไกลจริงๆ
ขอขอบพระคุณอีกครั้งครับ
เพื่อนๆ ที่ศึกษาพระธรรมทั้งหลาย ก็อย่าประมาทนะครับ ความตายมาเยี่ยมได้ตลอดเวลา ตั้งใจฟัง พิจารณาอย่างละเอียด อย่าผิวเผิน กับคำและความหมายต่างๆ อ.สุจินต์ฺ ท่านเน้นเสมอว่าให้ทำความเข้าใจให้จริงซะก่อน ว่าขณะที่สิ่งที่ปรากฎนี้ เราเข้าใจดีแล้ว หรือยัง ไม่ต้องรีบร้อนที่จะเข้าใ่จเรื่องไกลตัว
ผมว่าส่วนมาก เมื่อศึกษาใหม่ๆ ก็จะอยากที่จะรู้เร็วๆ รู้เรื่องไกลตัวกันซะส่วนมาก ผมว่าความสม่ำเสมอในการฟังธรรม และฟังอย่างตั้งใจนี่แหละ น่าจะเป็นส่วนที่เป็นสิ่งปรุงแต่งให้จิตเริ่มเกิดปัญญาทีละน้อยตามความเหมาะสม ถ้าไม่ประมาทในทุกเรื่อง ค่อยๆ ทำอย่างที่ผมกล่าวไว้ตามความคิดของผมนะ โดยผมวัดจากตัวผมเอง
ผมฟังอย่างต่อเนื่องอย่างตั้งใจเพียงสามสี่เดือน ก็มีความเข้าใจได้ดีกว่าก่อนมากขึ้นหลายเท่า และก็น่าจะเข้าใจได้ถูกต้องตามความเป็นจริงตามที่ท่านอาจารย์ได้บรรยาย แต่ก็ไม่มีตัววัดอะไร ผมเพียงพิจารณาความคิดตัวเองเอาเอง มันสอนคล้องกันไม่ขัดแย้ง และเหมือนจิตมันก็ค่อยๆ ขยับความเข้าใจสภาพธรรมมากขึ้น และยิ่งทำให้ผมยิ่งสนใจค้นคว้าที่จะฟังจะอ่านให้มากขึ้น และรู้สึกปลื้มใจนิดๆ ที่ได้มาถูกทาง ก็เกือบหลงไปทางอื่นเหมือนกัน คืออยากรู้ว่าที่ไหนเขาสอนอะไร
แต่ด้วยพอใช้เหตุผลว่าที่ มศพ. มีแต่ให้ประโยชน์ฺกับผม ไม่เคยให้สิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์กับผมเลย ที่อื่นๆ ท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องของผลประโยชน์และมีแต่ผลร้ายที่สุดที่จะเข้าใจพระธรรมแบบผิดเพี้ยนไปเลย