เสรีภาพ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญ
จากการสนทนาพิเศษ
เรื่อง "เสรีภาพ"
ที่บ้านคุณทักษพล - คุณจริยา เจียมวิจิตร
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๓
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ หน้าที่ ๕๓๖
ชื่อว่า เสรี ได้แก่ เสรี ๒ อย่าง คือ ธรรมเสรี ๑ บุคคลเสรี ๑
ธรรมเสรี เป็นไฉน? สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ชื่อว่า ธรรมเสรี
บุคคลเสรี เป็นไฉน? บุคคลใด ประกอบด้วยธรรมเสรี นี้ บุคคลนั้น ท่านกล่าวว่า บุคคลเสรี
จริงอยู่ โลกุตตรธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า เสรี เพราะไม่ไปสู่อำนาจของกิเลส และ บุคคล ชื่อว่า เสรี เพราะประกอบด้วยโลกุตตรธรรมเหล่านั้น
~ เริ่มเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำของพระองค์ไม่เหมือนกับคำของคนอื่นเลย แม้แต่คำว่า เสรี (อิสระ พ้นจากกิเลส) แม้แต่คำว่าภาวะ (ความเป็น) เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาด้วยความเคารพ อย่างละเอียด รอบคอบ จึงสามารถที่จะเข้าใจคำที่พระองค์ทรงแสดงจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ง่าย แต่ว่าสามารถที่จะเริ่มเข้าใจได้
~ ใครเสรี? พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ทั้งหลาย ถึงอย่างนั้น จึงจะกล่าวได้ว่า เสรี แต่ที่แต่ละคนไม่เสรี เพราะอะไร? เพราะยังไม่เป็นอิสระจากกิเลส แม้อยู่คนเดียว ก็ยังไม่เสรี
~ แม้แต่ความสงบที่ต้องการ ที่เรียกร้องหาความสงบ นั่น ไม่สงบ เพราะกำลังเรียกร้องหาความสงบ ขณะนั้น ไม่ใช่ความสงบ เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ โลกอะไร ก็ไม่สามารถที่จะเป็นเสรีได้ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจความจริงถึงที่สุด
~ ความประพฤติจากความไม่รู้ ส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี เห็นแก่ตัว ถ้าไม่ใช่คนดี รักชาติได้ไหม? เห็นไหม? เพราะฉะนั้น จะคิดว่าตัวเองรักชาติ รักเพื่อนมนุษย์ ต้องการอะไรก็ตามทั้งสิ้น แต่ก็ไม่จริง เพราะเหตุว่า ยังมีความรักตนอยู่
~ หลงคิดว่ารักชาติ รักประเทศ รักหมู่คณะ แต่ความจริง รักตัวเองต่างหาก เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นอิสระจากความรักตัว
~ เมื่ออยู่ร่วมกัน ก็ต้องมีขอบเขตของการที่จะไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษแก่คนอื่น แต่สูงสุด ก็คือ คนนั้นต้องเป็นอิสระจากความรักตัว ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง เพราะฉะนั้น จะเรียกร้องสิทธิเสรีภาพสักเท่าไหร่ก็ตาม เพื่อตัวเองหรือเปล่า? เห็นไหม? หรือว่า เพื่อคนอื่น เพื่อประเทศชาติ เพื่อส่วนรวม?
~ มีที่พึ่ง คือ พระรัตนตรัย ต้องพึ่งจริงๆ ไม่ใช่พึ่งแล้วก็ทำสิ่งที่ไม่เข้าใจเลยว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร พระองค์ตรัสไว้ว่าอย่างไร แล้วก็บอกว่าเป็นผู้ที่พึ่งพระองค์ ถ้าเป็นผู้ที่พึ่งพระองค์จริงๆ ต้องเกิดปัญญาเห็นว่า ทุกคำของพระองค์เป็นความจริงซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย
~ ถ้าไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ได้ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ ก็ไม่ประพฤติปฏิบัติตามแน่นอน เพราะฉะนั้น ก็คงเป็นทาสของกิเลส แต่ไม่รู้ตัวเลย
~ เนื่องจากความหลากหลายของการสะสมมา ความประพฤติทางกาย ทางวาจา ก็หลากหลายตามความคิด เพราะฉะนั้น เมื่อยังมีความไม่รู้ ก็มีความประพฤติเป็นไปทั้งหมดเนื่องจากความไม่รู้กันทั้งนั้น แต่บางท่าน ก็ยังมีการสะสมมาที่จะเข้าใจถูกต้อง ว่า อะไรดี อะไรควร
~ หวังดีต่อตัวเอง ก็ทำความดี ถ้าทุกคนทำความดีทั้งหมด จะต้องไปเรียกร้องอะไรหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ที่จะต้องเข้าใจจริงๆ ก็คือ ถ้าทุกคนเข้าใจในคุณความดี ค่อยๆ เป็นอิสระพ้นจากความไม่ดี ทางกาย ทางวาจาตั้งแต่ขั้นหยาบ ก็จะค่อยๆ อยู่ด้วยกันด้วยความสุข แต่ว่าจะไปเรียกร้องจากคนอื่น ไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ไปเรียกร้องให้ใคร หรือว่า ไม่ได้ให้เสรีภาพกับใคร เพราะให้ไม่ได้ แต่ต้องเป็นการให้ความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง และความเข้าใจที่ถูกต้อง นั่นแหละ จะแก้ไข (สิ่งที่ผิด) ทุกอย่าง
~ ความทุกข์ร้อน ความเดือดร้อนทุกมุมโลก เพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น แก้ไขไม่ถูก ถ้าทุกคนเป็นคนดี จะไม่มีการทุจริตในทุกวงการ ประเทศชาติสงบไหม รุ่งเรือง เจริญไหม?
~ ถ้าตัวเอง ทุกคน ดีหมด ไม่เดือดร้อนเลย การปกครองก็ราบรื่น สะดวกสบายทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอุปสรรคใดๆ
~ ศึกษาธรรม เพราะเห็นคุณที่ในสังสารวัฏฏ์ยากที่จะมีโอกาสที่จะได้เข้าใจความจริงจากคำของผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อตรัสรู้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ แต่ละคนต้องตายแน่ๆ เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าใครจะตายเมื่อไหร่? จะ...แน่ จนกว่าจะถึงเวลา แล้วทำอะไร? ได้ประโยชน์อะไร? ไปไหนล่ะกับความเห็นผิด จะไปจัดการโลก ไม่สำเร็จ เพราะโลก คือ แต่ละหนึ่งของธรรมที่มีจริงๆ (เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น)
~ ไม่รู้อะไรเลย ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และไม่เห็นประโยชน์ต่อการที่จะเข้าใจคำที่พระองค์ตรัสไว้ จึงมีความเห็นผิดมากมาย ทุกวงการ
~ ความดี แสนปีมาแล้ว แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ดี ยังคงเป็น ดี ไม่ชั่ว ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ความไม่ดี เมื่อไหร่เมื่อนั้น ถึงปัจจุบันอดีตอนาคต ไม่ดี จะเปลี่ยนเป็นความดี ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เข้าใจหรือยังว่า ดีคืออะไร แล้วจะทำไหมล่ะ (ความดี)
~ ทำไม ไม่เรียกร้องให้คนเป็นคนดี ด้วยการเข้าใจธรรม แทนที่จะเรียกร้องอะไรก็ไม่รู้แล้วก็ไม่สามารถที่จะมีได้ด้วย เพราะตัวเองไม่มีเสรีแล้วจะไปให้ใครมีเสรีได้
~ ถ้าไม่เริ่มดีวันนี้ มีโอกาสจะดีไหม (ยิ่งจะไม่ดีมากขึ้น) เพราะฉะนั้น เริ่มเร็วเท่าไหร่ เป็นประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่น เมื่อนั้น ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไรเลย แต่ขอให้เป็นคนดีเท่านั้นแหละ ทั้งประเทศ เรียกร้องอย่างเดียว คือ ให้เป็นคนดี
~ การบวช ยากหรือง่าย? (การบวช ยาก เพราะเป็นอัธยาศัยของผู้ที่สามารถสละชีวิตของคฤหัสถ์ทั้งหมด อุทิศชีวิตเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย อบรมเจริญปัญญา ประพฤติขัดเกลาในเพศบรรพชิต) แค่คำถามเดียว แล้วลืมหรือ?
~ บรรพชา (บวช) หมายถึง สละทั่วหมดทุกอย่างที่เคยเป็นคฤหัสถ์ เพื่ออะไร? เพื่อเข้าใจพระธรรม เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อรู้แจ้งความจริงของสภาพธรรม เพราะความจริงสามารถรู้ได้ แต่ไม่ง่าย และยิ่งในเพศของบรรพชิต จะยากสักเพียงใด
~ ถ้าทำความดี ไม่มีทางที่จะได้รับผลที่ไม่ดี แต่เมื่อไม่ทำดีแล้วไปเรียกร้องจะได้ผลที่ดี เป็นไปได้หรือ?
~ ถ้าเข้าใจพระธรรม ทุกคนก็รู้เหตุผล และเป็นคนดีขึ้น มีหรือที่โลกจะไม่สงบ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ แล้วจะให้สงบ เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นเหตุที่ไม่มีใคร (ส่วนใหญ่) จะทำตาม คือ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกต้อง ถ้าไม่เข้าใจถูกจริงๆ ก็ประพฤติผิด
~ ปัญหามาจากอะไร? (ปัญหามาจากความไม่ดี) ความไม่ดีมาจากอะไร? (ความไม่ดี มาจากความไม่รู้) ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ต้องรู้ แล้วรู้ให้ถูกแล้วก็เป็นคนดีประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงว่าความดีเป็นความดี ไม่ใช่เอาความชั่วไปแก้ไขความชั่ว ซึ่งไม่มีทางสำเร็จ
~ ต้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ถ้ารู้จริงๆ ไม่ทำสิ่งที่ผิด ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะสิ่งที่ไม่ดี ให้โทษ โทษไม่ได้มาจากอะไรเลยทั้งสิ้น นอกจากความไม่รู้
~ ธรรมดาที่สุด สั้นที่สุด "ทำดี" มีใครคิดว่าจะไม่แก้ปัญหาได้?
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาค่ะ