ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๗๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๗๔ * *
~ ความคิดที่ไม่ถูก มารวมกัน เป็นโทษหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ใครก็แก้ไขใครไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจหรืออย่างไรก็ตาม จนกว่าแต่ละคนจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า อะไรถูก อะไรผิด นั่นคือ การแก้
~ จะเริ่มไหมกับการฟังพระธรรม ถ้าไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันถึงความดีได้ ต้องกล้าหาญ แม้สิ่งที่ยากที่สุด คือ ไม่อยากฟังพระธรรม ก็เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจความจริง ยังทัน เพราะว่ายังมีชีวิตอยู่ ยังไม่จากโลกนี้ไป
~ นับถือใคร? ทั้งประเทศ ที่อยากจะให้พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ นับถือใคร? (ปากก็บอกว่า นับถือพระพุทธเจ้า แต่ใจปราศจากความเข้าใจถูก) แล้วนับถือหรืออย่างนั้น? แล้วถ้าจะมีคนเขาบอกว่า เข้าใจพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ที่อยากจะให้พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ อายไหม?
~ ถ้าสามารถเข้าใจพระพุทธศาสนาได้ เห็นคุณอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรจะประเสริฐยิ่งไปกว่านี้ได้ และไม่ได้จำกัดเฉพาะชาติไทย ความดี ต้องดีทุกหนแห่ง
~ จะให้ทุกคนเห็นเหมือนกันไม่ได้ เพราะคนที่เขานับถือศาสนาอื่นก็มี แล้วเราจะมาบอกว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพื่ออะไร? ประโยชน์อยู่ที่ไหน? แตกแยกหรือเปล่า?
~ ปัญหามาจากอะไร? (ปัญหามาจากความไม่ดี) ความไม่ดีมาจากอะไร? (ความไม่ดี มาจากความไม่รู้) ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ต้องรู้แล้วรู้ให้ถูก แล้วก็เป็นคนดี ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงว่า ความดีเป็นความดี ไม่ใช่เอาความชั่วไปแก้ไขความชั่ว ซึ่งไม่มีทางสำเร็จ
~ ต้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ถ้ารู้จริงๆ ไม่ทำสิ่งที่ผิด ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะสิ่งที่ไม่ดี ให้โทษ โทษไม่ได้มาจากอะไรเลยทั้งสิ้น นอกจากความไม่รู้
~ ประโยชน์ที่สุดของชีวิต คือ ขณะที่เข้าใจธรรม แล้วเราค่อยๆ ศึกษาค่อยๆ เข้าใจแล้วก็ยังช่วยคนอื่นโดยการกล่าวถึงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เขาไตร่ตรองจนกระทั่งเกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูก อันนี้ก็เป็นกัลยาณมิตร เป็นเพื่อนที่ดี ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญเป็นแบบอย่าง
~ สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน พวกเดียรถีย์ เยอะไหม? (ก็มาก) แต่พระองค์ ก็ยังทรงแสดงพระธรรม ด้วยพระมหากรุณา
~ กล่าวความจริงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โดยไม่หวัง จึงไม่เดือดร้อน ไม่ว่าใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ใครจะเข้าใจผิดหรือกล่าวคำว่าร้ายต่างๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดาของความไม่รู้ ใช่ไหม?แต่ไม่เป็นสิ่งที่เราจะต้องไปโกรธเคืองอะไรเลย เพราะเขาไม่รู้ รักษาใจไม่ใช่ใจคนอื่น แต่รักษาใจตัวเอง
~ ตายไปด้วยความไม่รู้อะไรเลยตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดมา กับ เข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อย อะไรดี
~ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ รักษาโรคไม่รู้ ซึ่งทุกคนเป็น (โรคนี้) ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กี่ภพกี่ชาติในสังสารวัฏฏ์ โรคไม่รู้ ก็นำมาซึ่งโรคอื่นๆ สารพัดโรค
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสรู้แล้วจึงทรงแสดงความจริง เพื่ออนุเคราะห์ให้คนอื่นได้มีความเข้าใจถูกได้มีความเห็นถูกซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง
~ โรคไม่รู้มากมายมหาศาล เพราะฉะนั้น รักษาโรคไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุนำมาซึ่งโรคอื่นๆ สารพัดโรคที่ทำให้จิตใจไม่สะอาด เพราะเหตุว่าแปดเปื้อนด้วยกิเลสนานาชนิด ซึ่งต้องใช้เวลานานมากในการรักษา เพราะเหตุว่าเป็นโรคนี้มานานเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หาค่าเปรียบมิได้เลย เพราะว่าประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาคุณ ไม่มีใครเปรียบได้เลย ไม่ว่าความดีใดๆ ในโลกทั้งหมดของแต่ละคนรวมกัน ก็ยังไม่เท่ากับความดีของพระองค์ ที่ประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาคุณ
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ไม่ได้ต้องการอะไรจากสัตว์โลกเลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ธูปเทียนอะไรๆ ทั้งหมด พระประสงค์ ก็คือ มีพระมหากรุณาให้คนอื่นได้เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าใจเองได้ เพราะฉะนั้น ทุกคำ ต้องศึกษาด้วยความเคารพ
~ จิต เป็นอย่างไร ความประพฤติทางกาย วาจา ก็เป็นอย่างนั้น
~ ระดับของโลภะ มีมากมายหลายขั้น แต่ทั้งหมด ก็คือ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เข้าใจขึ้นๆ ก็สามารถที่จะรู้ความจริงว่า โลภะระดับไหนโลภะในเรื่องอะไร โลภะใดๆ ก็ตาม ถ้าไม่มีปัจจัย (สิ่งที่อุปการะเกื้อกูลให้เกิด) เกิดไม่ได้
~ จะเกลียดคนอื่นไหม จะโกรธคนอื่นไหม หรือ จะเมตตาแล้วก็ให้อภัย เพราะขณะนั้น มีปัญญาที่เห็นโทษ ว่า ขณะใดที่โกรธเกลียดคนอื่น ก็คือ สะสมสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งจะตามไป ไม่ว่าจะเกิดอีกไม่ใช่คนนี้แล้ว เป็นคนอื่น เป็นคนใหม่ตามกรรม แต่สิ่งที่สะสมมา ก็ยังมีอยู่เต็ม แล้วก็ยังจะเพิ่มขึ้นตามความไม่รู้ด้วย
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง นำทางให้รู้ความจริงซึ่งกำลังมีอยู่ในขณะนี้ มิฉะนั้นแล้ว สัตว์โลกก็ไม่ได้รักษาโรคไม่รู้แล้วก็ยังคงไม่รู้ต่อไป
~ หนทางที่จะรู้ความจริง มี เพราะฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนที่สะสมมาว่าเห็นประโยชน์ไหม ว่า ประโยชน์ คือ ความเข้าใจความจริง ไม่ใช่เป็นประโยชน์ที่เกิดมาแล้วไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นแล้วทุกสิ่งก็หมดไปไม่เหลือเลยทุกวันจนถึงที่สุดคือความตายพ้นจากความเป็นบุคคลนี้ จากที่เคยมีความเป็นเจ้าของบุคคลนี้ มีทรัพย์สมบัติของบุคคลนี้ มีอะไรทุกอย่างที่เคยจำไว้ว่าเป็นเหตุการณ์ในชีวิตของคนนี้ ก็ปรากฏชัดเจนว่าไม่เหลือ แต่ขณะนี้ กำลังเป็นอย่างนั้น ทุกขณะ (คือ) ไม่เหลือ
~ คนที่รู้ประโยชน์จริงๆ เห็นความลึกซึ้งจริงๆ เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริงของธรรม จะไม่มีการละเลยหรือทอดทิ้งที่จะเข้าใจขึ้น ไม่ว่าจะโดยการอ่าน โดยการฟัง โดยการไตร่ตรอง โดยการสนทนาธรรมหรืออะไรทั้งสิ้น เพราะรู้ว่า กว่าจะได้เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่ง่าย
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกคำ อนุเคราะห์ไม่ให้หลงผิด เป็นที่พึ่งจริงๆ
~ ไม่มีการฟัง ไม่มีการระลึกถึงพระธรรม ไม่มีการไตร่ตรอง ไม่มีการเห็นประโยชน์ ปัญญาเกิดไม่ได้ เจริญต่อไปไม่ได้
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๗๓
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาค่ะ
พระธรรมยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาค่ะ
กราบนอบน้อมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
กราบนอบน้อมพระธรรมและพระอริยสงฆ์ ด้วยความเคารพอย่างที่สุด
ชาตินี้ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังไม่ได้เข้าใจ ความเป็นธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เสียโอกาสอย่างยิ่งที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา
โรคไม่รู้น่ากลัวมากค่ะ เกิดมาก็ไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร. ตายไปก็จะไม่รู้มากขึ้นถ้าไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรม
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้ถ่ายทอดพระธรรมได้ตรงตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
เวลาในชาตินี้เหลือไม่มาก แต่ทุกขณะมีค่าอย่างยิ่งคือขณะที่ได้เข้าใจ ธรรมะที่มีจริง ค่อยๆ ขัดเกลาชำระความไม่รู้ ด้วยความเคารพและอดทน
กราบขอบพระคุณ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย วิทยากรมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาทุกท่าน และผู้ให้ธรรมทานทุกท่านค่ะ