การมีสติรู้อยู่กับ ปัจจุบัน กับการระลึกถึง ความไม่เที่ยง
การมีสติรู้อยู่กับ ปัจจุบัน กับการระลึกถึง ความไม่เที่ยง เวลาเรามีสติขึ้นมาเราควรระลึกถึงสิ่งไหนก่อนครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สติ ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นเจตสิก สติ เป็นเจตสิกฝ่ายดี คือเกิดกับจิตที่ดีงาม ไม่เกิดกับอกุศลจิตเลย สติ ทำหน้าที่ระลึกเป็นไปในทางที่ดี และ สติเป็นธรรมที่เป็นเครื่องกั้นกระแสกิเลส สติ มีหลายอย่าง หลายชนิด แต่ สติ ก็ต้องกลับมาที่ สติเป็น สภาพธรรมฝ่ายดี ครับ
สติ แบ่งตามระดับของกุศลจิต เพราะเมื่อใด กุศลจิตเกิด สติจะต้องเกิดร่วมด้วย กุศลจิต มี ๔ ขั้น คือ ขั้นทาน ศีล สมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา
สติจึงมี ๔ ขั้น คือ สติที่ระลึกเป็นไปในทาน สติที่ระลึกไปในศีล สติที่ระลึกเป็นไปในสมถภาวนา และ สติที่ระลึกเป็นไปในวิปัสสนาภาวนา
สติขั้นทาน คือ เมื่อสติเกิดย่อมระลึกที่จะให้ สติขั้นศีล คือ ระลึกที่จะไม่ทำบาป งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ สติขั้นสมถภาวนา เช่น ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า และสติขั้นวิปัสสนา คือ สติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เกิดพร้อมปัญญารู้ความจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ดังนั้น สติ จึงเป็นสภาพธรรม ที่ระลึกเป็นไปในกุศลทั้งหลาย และ ขณะใดที่สติเกิดขณะนั้น อกุศลไม่เกิด เพราะกั้นกระแสกิเลสในขณะนั้น
ขอเพิ่มเติมความละเอียดของสติดังนี้ ครับ
โดยมาก คนไทย นำภาษาบาลีมาใช้ โดยไม่ตรงกับความหมายของภาษาบาลี และไม่ตรงกับความหมายของพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงครับ อย่างเช่น คำว่า สติ สติในภาษาไทย ก็เข้าใจกันว่า ทำอะไร ก็รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เดินก็รู้ว่าเดินอยู่ ซื้อของก็ให้มีสติ น้ำท่วมก็ให้มีสติ
สรปุว่า คนไทยที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม เข้าใจว่า สติ คือรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ชื่อว่า มี สติ ความหมายสตินี้ไม่ตรงตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงครับ
สติ ที่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง คือ สติ เป็นสภาพธรรมฝ่ายดี เป็นเจตสิกเกิดกับจิตที่ดีเท่านั้น ไม่เกิดกับอกุศลจิตเลย ดังนั้น ขณะใดที่เป็นอกุศล ขณะนั้นไม่มีสติ ขณะใดที่เป็นกุศล ไม่ว่าระดับใด ขณะนั้นมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยครับ สติทำหน้าที่ ระลึก และกั้นกระแสกิเลสที่เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดขึ้นในขณะที่สติเกิดครับ
ดังนั้น การมีสติอยู่กับปัจจุบัน จึงไม่ใช่การรู้ว่ากำลังอะไรอยู่ นั่นไม่ใช่สติในพระพุทธศาสนา การมีสติอยู่กับปัจจุบัน คือ สติที่ระลึกรู้ลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฎว่าไม่ใช่เราเป็นธรรมที่กำลังเกิดในปัจจุบันครับ ซึ่งก็คือ สติที่ระลึกในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่แสดงให้เข้าใจธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ซึ่งทุกขณะไม่เคยขาดธรรมเลย เมื่อมีพื้นฐานรากฐานที่มั่นคงตั้งแต่ในขั้นการฟัง ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเพราะเหตุว่า ธรรม ยาก ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้เหตุปัจจัย สติและสภาพธรรมฝ่ายดีอื่นๆ รวมทั้งปัญญา ก็สามารถเกิดขึ้น ระลึกและรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง โดยไม่เลือก เพราะเลือกไม่ได้ ถ้าเลือก ถ้าเจาะจง จดจ้อง ก็ไม่ใช่สติแล้ว แต่เป็นความอยาก ความต้องการ ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...