เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนควรคบหา ใช้วิธีไหนพิสูจน์ใจคนได้บ้าง ก่อนที่จะสายไป

 
LifeExpedition
วันที่  8 ต.ค. 2563
หมายเลข  33070
อ่าน  683

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนควรคบหา ใช้วิธีไหนพิสูจน์ใจ (กิเลส) คนได้บ้าง ก่อนที่จะสายไป (ก่อนจะไปมีคดีความต่อกัน จากญาติกลายเป็นศัตรู มีเรื่องราวที่สร้างปัญหา ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เป็นคนก่อ)

ในชีวิตแต่ละวันที่ต้องพบปะ เจอกันคนมากมาย ต่างจิตต่างใจ ในสังคม

และเราจะต้องสร้างเหตุแบบใด เพื่อในกาลข้างหน้าจึงจะมีแต่เพื่อน ญาติ และบริวารแวดล้อมที่มีจิตไปในทางกุศลและมีกิเลสน้อย

ส่วนคำที่กล่าวว่า "คนเรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์" นั้นก็คือเจ้ากรรมนายเวรที่มาเกิดเป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน เป็นญาติ เพื่อที่จะรอจังหวะเอาคืนบาปบุญที่เราเคยทำไว้ในอดีตชาติใช่ไหมครับ

ขอคาราวะ และขอบพระคุณท่านผู้รู้และผู้ที่มีปัญญาที่โปรดเมตตา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 8 ต.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การจะรู้ว่าใครเป็นอย่างไร ตัวบุคคลนั้นเองก็ต้องเป็นผู้มีปัญญา คือ รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจจากการศึกษาพระธรรม ก็สำคัญว่ากุศลเป็นอกุศล สำคัญผิดว่าความดีเป็นความไม่ดี ความไม่ดีเป็นความดี แต่เพราะได้ศึกษาคำของพระพุทธเจ้า จึงรู้ว่า สิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นอกุศล จึงจะสามารถจะรู้ว่า ใครเป็นอย่างไร ด้วยปัญญา ที่ดุจากการแสดงออกมาทางกาย วาจา และคบกันเป็นเวลานาน เป็นต้น ซึ่งปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้ อันเกิดจากการศึกษาพระธรรมไม่ใช่คิดเดาเอาเองตามความคิดส่วนตัว

เชิญคลิกอ่านข้อความในพระไตรปิฎกได้ที่ลิงก์นี้ ...

ฐานะ ๔ ที่พึงรู้ด้วยฐานะ ๔ [ฐานสูตร]

ส่วนการคบ ถ้าเป็นคนพาล คนมีอุปนิสัยไม่ดี ก็เพียงอนุเคราะห์ และการจะได้พบใครก็ตามเหตุปัจจัย คือ กรรมที่ได้ทำแล้ว ดังนั้น กรรมดี ย่อมทำให้ได้คบสัตบุรุษ มิตรที่ดี คือ มีคุณธรรม ซึ่งเกิดจากกรรมดี เป็นปัจจัย มีการเข้าใจพระธรรม เป็นต้น ส่วน การได้พบมิตรไม่ดี ก็เพราะกรรมไม่ดีเป็นปัจจัย มีการไม่ศึกษาพระธรรมและมีความเห็นผิด เป็นต้น ซึ่งทั้งหมด เป็นกรรมของตนเอง ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรของใคร ทุกคนมีกรรมเป็นของๆ ตน ครับ

เจ้ากรรมนายเวร ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน ไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวร ครับ

เวลานี้ใครมองเห็นเจ้ากรรมนายเวรบ้าง ฟังดูเสมือนว่าทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวร แต่ตามความเป็นจริงนั้น ทุกคนเป็นทายาทของกรรมของตนเอง กรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ผลเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลดีที่กำลังได้รับความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายก็ไม่ใช่บุคคลอื่นบันดาลให้ แต่กุศลที่ผู้นั้นได้กระทำแล้วในอดีต เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสสิ่งที่ดีๆ

ฉะนั้น เมื่อกุศลให้ผล ก็ทำให้ได้รับความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ฉันนั้น ถ้าถูกคนอื่นทำร้าย ก็อาจจะคิดว่าเพราะคนนั้นทำ แต่ถ้าไม่ได้ถูกใครทำร้ายเลย เวลาตกบันไดหรือเจ็บป่วยต่างๆ นั้น ใครทำให้ ขณะที่ถูกก้อนหินหล่นใส่ ก้อนหินเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราหรือไม่ ขณะที่เกิด ที่เป็นผลของกรรม มีเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เกิดหรือไม่ หรือว่าเพราะกรรมของเราเองที่ทำไว้ จึงทำให้เกิด ฉะนั้น แต่ละคนจึงมีกรรมของตนเอง เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะทำให้ผลของกรรมเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

ฉะนั้น เรื่องเจ้ากรรมนายเวร จึงเป็นเรื่องรับฟังต่อๆ กันมาโดยไม่รู้ว่าใครเคยเห็นเจ้ากรรมนายเวรที่ไหน เมื่อไหร่ เพียงแต่นึกว่ามีบุคคลที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อนต่างๆ แต่ความจริงนั้น ทุกคนมีกรรมเป็นของของตนเอง ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 8 ต.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในชีวิตประจำวัน โดยปกติของผู้ที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยอกุศลนานาประการ อกุศลจิตเกิดบ่อยมากเป็นพื้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครใครก็ตาม พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นแสดงให้เห็นว่าใครเป็นบุคคลที่ควรคบ หรือ ไม่ควรคบ เพราะว่าบุคคลที่เราคบนั้น เป็นส่วนที่จะทำให้ชีวิตของเราเป็นไปในทางกุศล หรือ ทางอกุศล เป็นไปในทางเสื่อมหรือเป็นไปในหนทางแห่งความเจริญ ได้ แต่แม้อย่างนั้น พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ยังส่องให้เห็นถึงประการหนึ่งที่สำคัญ คือ เพื่อน้อมพิจารณาตนเองว่าตนเองมีลักษณะเป็นอย่างไร มีกิเลสอกุศลอันวิจิตรมากน้อยเพียงไร พร้อมที่จะขัดเกลาให้เบาบางลงบ้างหรือยัง ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก ดังนั้น จึงต้องอาศัยปัญญาเท่านั้น ที่จะทำให้เข้าใจสภาพธรรมทั้งหลายทั้งปวง ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ต้องหาความเป็นมิตรแท้จากบุคคลอื่น แต่เริ่มได้ที่ตัวเราเอง คือ มีความเป็นมิตร มีความหวังดีต่อบุคคลอื่น ไม่หวังร้ายต่อผู้อื่น และยิ่งมีความเข้าใจถูกต้อง ก็ย่อมจะเกื้อกูลบุคคลอื่นให้มีความเข้าใจถูกต้องตามพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ อีกด้วย เป็นประโยชน์โดยตลอด


แต่ละคนมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ บุคคลทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมติดตามเหมือนเผ่าพันธุ์วงศ์ญาติ ที่คอยอุปถัมภ์ หรือ เบียดเบียน เพราะเหตุว่ากรรมดีก็เหมือนวงศ์ญาติที่ดี คอยช่วยเหลือเกื้อกูล ในทางตรงกันข้าม กรรมชั่วก็เหมือนวงศ์ญาติชั่ว ที่ทำลาย เบียดเบียน เพราะฉะนั้น กรรมเท่านั้นที่เป็นเผ่าพันธ์ุวงศ์ญาติที่แท้จริงของผู้กระทำกรรม เพราะเมื่อกรรมใดถึงคราวที่จะให้ผล ผลก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นไปตามสมควรแก่กรรมของผู้นั้นเอง แต่ละคนจึงมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์วงศ์ญาติที่แท้จริง ไม่มีใครทำให้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เมื่อเข้าใจความจริงเช่นนี้ ก็จะทำแต่กรรมดี ค่อยๆ เว้นจากกรรมชั่ว คล้อยไปตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ปัญญาจะพาไปทำชั่ว ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
talaykwang
วันที่ 8 ต.ค. 2563

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
LifeExpedition
วันที่ 9 ต.ค. 2563

เริ่มเข้าใจแล้วครับ ต้องขอขอบพระคุณท่านผู้รู้ทั้งสองท่าน ที่กรุณาช่วยชี้ให้เห็นเหตุและผลอย่างชัดเจน ขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ