ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๗๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๗๗ * *
~ มีกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าจะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตหรือในเพศของคฤหัสถ์ ต้องตรง เพราะเหตุว่า ไม่บวช ก็อบรมเจริญปัญญาจนถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ ไม่ใช่บวชเพื่อหลอกลวงหรือไม่จริงใจ เพราะว่า ใครเห็นพระภิกษุ ก็ต้องรู้ว่า ต่างจากคฤหัสถ์ เพราะสละชีวิตของคฤหัสถ์แล้ว
~ ปัญหาทั้งหมด ต้องมาจากอกุศลธรรม เพราะเหตุว่า มีความไม่รู้ จึงมีอกุศล ถ้ามีปัญญาเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ก็จะค่อยๆ ละอกุศลคือความไม่รู้
~ ขณะนี้มีธรรม (สิ่งที่มีจริง) ธรรมเกิดปรากฏ เป็นสิ่งที่สามารถที่จะเห็นความจริง รู้ความจริง ได้ เพราะฉะนั้น โดยอาศัยการฟังและเข้าใจ ก็จะทำให้เริ่มเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ปฏิบัติผิด
~ ชาติก่อน ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ เป็นใครที่ไหนก็ตามแต่ แล้วเดี๋ยวนี้อยู่ไหน? ก็ไม่มี ชาตินี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน
~ กระทำดีเมื่อไหร่ นั่นคือ เห็นคุณของความดี เมื่อเห็นคุณของความดีแล้ว จะลบหลู่ความดีหรือ
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโลก ปัญญาประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะยากไร้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้ามีปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ขณะนั้น ไม่เดือดร้อน แต่ถึงแม้ว่าจะมั่งมีมากมาย มีชื่อเสียง มีคำสรรเสริญ มีคำยกย่อง มีลาภยศ แต่ถ้าขณะนั้นไม่เข้าใจ จิตใจ ก็เป็นทุกข์ได้
~ ได้ยินคำว่า "ธรรม" ขอให้ทราบว่า หมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งนั้น แต่ละหนึ่ง ถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง
~ คนที่ตรงต่อความจริง ก็รู้ว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรม ที่เป็นจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ (อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) แต่ละคน ก็เป็นจิต เจตสิก รูป เราอยู่ไหน? ในเมื่อจิตเป็นจิต รูปเป็นรูป เจตสิกเป็นเจตสิก แม้แต่ในขั้นการฟัง ก็เริ่มไตร่ตรอง ว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรม
~ เรื่องของกิเลส มีมาก และกิเลสเกิดขึ้นทำกิจการงานของกิเลส กิเลสจะทำกิจการงานของกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าในสมัยไหนทั้งสิ้น กิเลสเกิดขึ้นขณะใดก็ทำกิจของกิเลสขณะนั้น
~ กิเลสเขาทำหน้าที่ของกิเลส คือ โลภะเขาก็มีกิจหน้าที่ของเขา คือ ติดทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นแล้วก็ชอบอยากได้ ได้ยินเสียงก็ติดข้อง มีความยึดมั่น ไม่สละ นั่นคือกิจของโลภะ โทสะก็เป็นสภาพที่หยาบกระด้าง ขณะใดที่เกิดขึ้น เขาก็แข็งกระด้าง ขุ่นเคือง ทำร้าย ทำลายทุกอย่าง นั่นคือลักษณะของโทสะ
~ เวลาที่ไม่รู้ ก็คิดว่า เป็นคนอื่นที่ทำร้ายเรา ทำให้เราเสียใจทำให้เราผิดหวังทำให้เราโกรธ ที่ไม่เป็นไปอย่างใจหวังแต่ความจริง ไม่มีใครทำร้ายใจใครได้เลยนอกจากกิเลสที่อยู่ในใจของคนนั้นเท่านั้นที่ทำร้ายคนนั้น เวลาที่กิเลสเกิดทำร้ายทันทีทุกขณะ
~ เขาก็มีอกุศลจิต เราก็มีอกุศลจิต ถ้าใครยังโกรธใครอยู่ หรือไม่ชอบใครก็ตาม ขอให้คิดเสียว่า เราจะเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็จะไม่เห็นกันอีก เพราะฉะนั้นจะทำอะไร เมื่อเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายแล้ว จะทำดีหรือจะทำชั่วต่อกัน?
~ พระธรรมทั้งหมด เพื่อไม่ประมาท เพื่อเข้าใจถูกว่า กิเลส มีมาก และการค่อยๆ เข้าใจธรรม เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สามารถละกิเลสได้ ถ้าใครคิดว่า ละกิเลสได้โดยไม่เข้าใจธรรม ผู้นั้นเข้าใจผิด
~ ธรรมเป็นเรื่องตรง และเป็นเรื่องอุปการะทุกชีวิตให้สามารถเจริญขึ้นในกุศลธรรม ด้วยปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง แต่ถ้าเข้าใจไม่ถูกต้องเพราะไม่รู้ ก็ทำทุกอย่างด้วยความไม่รู้ เพราะด้วยความไม่รู้ จึงเป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง เป็นอกุศลประเภทต่างๆ บ้าง
~ ค่อยๆ ฟังธรรม จนกว่าจะมั่นคงว่า ไม่มีอะไรเลยสักอย่างในขณะนี้ที่ไม่ใช่ธรรม และสิ่งที่เป็นธรรมในขณะนี้ เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย คือ ฟังแล้วก็พยายามที่จะเข้าใจความจริง ทุกอย่างที่เป็นธรรมก็จะต้องเป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้เลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปิดเผยความจริงทุกอย่างเพื่อให้คนได้เข้าใจที่ถูกต้อง ทุกคำที่พระองค์ตรัส เป็นประโยชน์ คือ ให้รู้ว่า อะไร ถูก อะไร ผิด อะไรเป็นสิ่งที่ควร อะไรเป็นสิ่งที่ไม่ควร
~ อย่างไรก็ต้องตาย ก็ทำความดีให้มากที่สุดไม่ดีกว่าหรือ เข้าใจพระธรรมให้มากที่สุดไม่ดีกว่าหรือ จะได้ติดตามไปได้ จะทิ้งโอกาสแห่งการสะสมความดีและฟังพระธรรมได้อย่างไร
~ ถ้าช่วยให้ทุกคนได้เข้าใจถูก เป็นประโยชน์ไหม? เป็นผลดีไหม? และก็เป็นกุศลด้วย เป็นการขัดเกลากิเลส เพราะธรรม ตรง ความถูกต้องที่ได้พิจารณาแล้ว จะผิดไม่ได้เลย
~ ในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้น ปัญญาประเสริฐสุด แม้ว่าอกุศลที่สะสมมา มาก แต่ปัญญาที่เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นเพิ่มขึ้น ก็มีกำลังจนสามารถดับอกุศลได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ว่าง่าย ว่า ไม่มีหนทางอื่นนอกจากความเข้าใจจากการฟังพระธรรม
~ ฟังธรรม เพื่อสะสมความเห็นถูกว่าเป็นธรรม จนกระทั่งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นวันไหน ขณะใด ก็สามารถที่จะมีความเข้าใจในสภาพธรรมนั้นๆ ว่า เป็นธรรม (สิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัว)
~ การฟังธรรม เพื่อเข้าใจ ความเข้าใจนั้น ก็ละความไม่รู้ ความไม่รู้เป็นเหตุให้เกิดอกุศลมากมายเพิ่มขึ้น ยากแก่การที่จะมีชีวิตด้วยอกุศลแล้วคิดว่าจะดับอกุศลนั้นได้เร็ว
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ การที่สามารถรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะเหตุว่า คำของพระองค์จะดำรงต่อไป ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่เข้าใจถูก ถ้าผู้ใดก็ตามไม่เข้าใจธรรม พูดไม่จริง คำไม่จริง ไม่ตรงตามความเป็นจริง คำนั้นทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เกิดมาไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อที่จะเข้าใจธรรม เท่าที่จะเป็นไปได้ ตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา เพราะถึงอย่างไร ก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่จะจากไปพร้อมกับกิเลสมากๆ หรือ จากไปพร้อมกับปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้น?
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๗๖
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...