ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป จริงหรือ?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ... แม้คนผู้ทำบาป ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาลที่บาปยังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใด บาปเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว ฝ่ายคนทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใด กรรมดีเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นกรรมดีว่าดี
เรื่อง อนาถบิณฑิกเศรษฐี พระไตรปิฎก คาถาธรรมบท เล่ม ๔๒
เรื่องย่อมีดังนี้ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นพระโสดาบันผู้มีศรัทธา บริจาคทรัพย์สร้างพระวิหารเชตวัน เป็นผู้เลิศในการให้ทาน ท่านไปพระวิหารเชตวัน ในมือติดอาหารและของสมควรกับพระภิกษุให้ทานทุกวัน อยู่มาวันหนึ่ง ทรัพย์ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ถึงความหมดสิ้นไป ทรัพย์ที่ฝังไว้ก็หายไป คนกู้ยืมก็ไม่ใช้คืน แต่ท่านก็ยังถวายทานเป็นนิตย์ แต่ด้วยอาหารที่ไม่ประณีต พระพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านอย่าคิดว่าทานท่านจะเศร้าหมองไม่ประณีต หากจิตท่านประณีตและถวายกับพระอริยบุคคล ย่อมไม่เศร้าหมองเลย
เทวดาผู้อาศัยอยู่ในซุ้มประตูท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ไม่ได้เลื่อมใสพระรัตนตรัย รู้ว่าเศรษฐีหมดทรัพย์ จึงได้มาเตือนท่านว่า การที่ท่านให้ทานอย่างนี้ต่อไปท่านก็จะไม่มีแม้บริโภคด้วยตนเอง ควรที่จะหยุดให้ในพระภิกษุสงฆ์และพระพุทธเจ้าเสีย ท่านเศรษฐีจึงกล่าวว่า แม้ท่านจะพูดอย่างไร เราก็จะให้ และจึงไล่เทวดาผู้เห็นผิดออกไปจากเรือน เทวดาไม่มีที่อยู่ คิดจะขอโทษท่านเศรษฐี พระอินทร์ จึงออกอุบายให้เทวดานั้น นำทรัพย์สมบัติจากที่อื่นที่ไม่มีเจ้าของ มาทำให้เรือนคลังของเศรษฐีเต็ม เทวดาได้มากล่าวกับท่านเศรษฐีว่า ข้าพเจ้าเป็นเทวดาพาล กระผมมาขอโทษท่าน ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้พาเทวดานั้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เทวดาได้กราบพระพุทธเจ้าขออดโทษที่ไม่รู้จักคุณของพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้าได้แสดงความจริง เรื่อง กรรมและผลของกรรม ตรัสพระคาถาว่า
แม้คนผู้ทำบาป ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาลที่บาปยังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใด บาปเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว ฝ่ายคนทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใด กรรมดีเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นกรรมดีว่าดี
อธิบายดังนี้ คนทำชั่ว ทำไม่ดี ย่อมคิดว่าการทำชั่วดี เพราะ ผลของกุศลกรรม (กรรมดี) ในอดีตชาติให้ผลดีกับเขาอยู่ในปัจจุบันชาตินี้ ทำให้เขามีทรัพย์สิน เงินทอง มีชื่อเสียง แม้เขาจะทำชั่วในปัจจุบัน แต่เมื่อบาปกรรมที่เขาทำให้ผลเมื่อไหร่ คนที่ทำบาป ก็จะรู้ว่าบาปนั้นไม่ดี ส่วนคนที่ทำดี อบรมกุศลในชีวิตประจำวัน แต่ก็ได้รับสิ่งที่ไม่ดี มีเสียทรัพย์ ป่วยเป็นโรคต่างๆ เป็นต้น เขาก็คิดว่า กรรมดี ที่ทำนั้น ไม่ดีเลย แท้ที่จริงเป็นเพราะกรรมไม่ดีในอดีตชาติให้ผลในชาติปัจจุบัน ส่วนกรรมดีในชาติปัจจุบันยังไม่ให้ผล ต่อเมื่อใดกรรมดีให้ผล เขาย่อมรู้ว่ากรรมดี เป็นสิ่งที่ดี
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสพระคาถาจบ เทวดาได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
ธรรมเรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่า เพราะสัตว์โลกไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง จึงไม่เข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรม จึงมีคำกล่าวที่ผิดที่ว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป เพราะไม่รู้ว่ากรรมดีและกรรมไม่ดี ที่ทำ มีกาลเวลาที่ให้ผล ไม่ได้หมายความว่า กรรมดีที่ทำจะต้องให้ผลเลยในชาตินี้ หรือ กรรมชั่วที่ทำจะให้ผลในชาตินี้ และ คนเราเกิดมา ไม่ใช่มีเพียงชาตินี้ ชาติเดียว ชาติก่อนๆ ก็มี และก็ได้มีการทำกรรมทั้งที่ดีและไม่ดี ผู้ที่เห็นถูก คือ มั่นคงในเรื่องกรรม คือ กรรมดี ย่อมให้ผลดี กรรมชั่วย่อมให้ผลชั่ว ไม่เปลี่ยนเลย
การทำความดี ไม่ใช่เพราะต้องการผล แต่เป็นเพราะทำดี เพราะเป็นสิ่งที่ดี และจะดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ตราบใดที่มีความไม่รู้ มีกิเลส ก็เป็นปัจจัยให้ทำกรรมดี กรรมไม่ดี ก็ไม่พ้นจากทุกข์ ไม่พ้นจากการเกิด หนทางพ้นทุกข์ คือ ฟังคำพระพุทธเจ้า ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม ที่เป็นปัญญา วิชชา จนสามารถดับกิเลสได้ในที่สุด