ตรงต่อความเป็นจริง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญ
จากการสนทนาธรรม
ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
สนทนาธรรมกับอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอังคารที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
(ขอบพระคุณพี่วันชัย ภู่งาม สำหรับภาพการสนทนาธรรมในวันนี้)
~ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่รู้จักธรรมเลย แต่ก็พูดคำว่าธรรมตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่างทั้งหมด ไม่ว่าที่ไหน กาลสมัยไหน สิ่งที่มีจริงทั้งหมด มีในทุกกาลสมัยและต่อไปข้างหน้าเป็นธรรมทั้งหมด
~ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง แม้แต่ที่กล่าวว่า เรา หรือ คนหนึ่งๆ ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งมารวมกันแล้วก็หลงยึดถือว่าเป็นตัวตน ทั้งๆ ที่คำสอนทั้งหมดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ว่าใครจะพูดสมัยไหน เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่มีตัวตน แต่มีความเป็นตัวตน เพราะเข้าใจผิด
~ การที่จะได้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความเป็นจริง
~ ธรรมมีจริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีจริง จึงทรงแสดงธรรม แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ด้วยเหตุนี้ คำที่พระองค์ตรัสแล้ว จึงเป็นพระธรรม มาจากพระโอษฐ์
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น จะไม่มีใครรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยถ้าไม่ฟังคำของพระองค์แล้วก็ไตร่ตรองว่าทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วเพื่อเรา เพราะเราคิดไม่ออกว่าธรรมคืออะไร แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีสี่อสงไขยแสนกัปป์ตรัสรู้แล้วตรัสคำนี้ ทุกคำเป็นพระธรรมจากพระโอษฐ์ ไม่มีได้ไหม? ถ้าไม่มี ก็ไม่มีพระพุทธศาสนา
~ พระพุทธศาสนาสอนเรื่องความจริงคือเป็นธรรม ด้วยเหตุนี้ ในพระไตรปิฎก มีคำว่าพระธรรมคือพระสรีระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำส่องไปถึงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณพระมหากรุณาคุณ เพราะฉะนั้น ทุกคำเป็นพระกาย (พระสรีระ) ที่พระองค์ตรัสให้รู้ว่าจะเห็นพระองค์ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจธรรม
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีจริงแน่นอน แล้วก็ต้องสอนจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ด้วยคือตรัสรู้สิ่งที่มีจริงซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มี
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนไม่ได้เลยทุกกาลสมัย ทุกอย่างแม้เดี๋ยวนี้ก็ตรงกับความจริงที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เพราะว่าเมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ตรัสว่า ธรรม ลึกซึ้ง ละเอียด ยากที่จะรู้ได้
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เพื่อเราจะได้ฟังจะได้ไตร่ตรองได้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ ปัญญาที่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ พุทธบริษัท ไม่ได้มีแต่เฉพาะเพศบรรพชิต เพศคฤหัสถ์ก็มีที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หมอชีวกโกมารภัจจ์ ฟังพระธรรมแล้วรู้แจ้งธรรมเป็นพระโสดาบัน ไม่ได้บวชเลย เพราะฉะนั้น บวชไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อมีความเห็นถูกต้องตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้จนสามารถที่จะรู้ความจริงถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะว่า พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีซึ่งละกิเลสตามลำดับ ไม่ต้องบวชก็ได้ มีข้อความในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงอุบาสกอุบาสิกาที่เป็นถึงพระอนาคามีก็ไม่บวช ต่อเมื่อใดเป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นไม่มีชีวิตอย่างคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นอัธยาศัย เพราะว่าบวชตามใคร? ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบำเพ็ญชีวิตที่สละหมด เพราะฉะนั้น การบวชไม่ง่าย มีข้อความชัดเจนว่า การบวชยาก ชีวิตของบรรพชิต เป็นชีวิตที่ยาก เพราะฉะนั้น คนสมัยนี้ได้ฟังพระธรรมหรือเปล่า? หรือว่าเขาชวนไปบวชก็ไปบวช เป็นร้อย เป็นพัน แต่ไม่ได้เข้าใจธรรมเลย เพราะฉะนั้น แสดงว่า ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาซึ่งเท่ากับไม่เห็นพระกายพระสรีระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระธรรม แต่ก็ไปบวช
~ ฟังคำจริงจากคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว แล้วต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูกของเราเอง นั่นคือ ประโยชน์
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้ง เปลี่ยนไม่ได้เลย ถ้าไม่ศึกษาโดยละเอียดด้วยความเคารพอย่างยิ่งจะเข้าใจผิด
~ ไม่ว่าเราเคารพใคร เราเคารพในคุณความดี เพราะฉะนั้น พุทธบริษัททุกคนฟังธรรม เมื่อเข้าใจแล้วจึงเริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ ยิ่งเคารพมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น เคารพสูงสุด คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าบุคคลที่ได้ศึกษาแล้วก็สามารถที่จะทำให้คนอื่นได้เข้าใจถูกในแต่ละคำซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย
~ จริงๆ แล้ว ศรัทธาต้องเป็นสิ่งที่ดีงาม ไม่ใช่ไปศรัทธาในนกหนูปูปลา เครื่องรางของขลัง เพราะศรัทธาต้องเป็นธรรมฝ่ายดีงาม ขณะนั้นจิตต้องผ่องใสไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ และไม่มีความหลงด้วย
~ ภิกษุไม่มีส่วนที่จะไปร้องขอไปเรียกร้องไปทำอะไรทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าบวชเพื่ออะไร? เพื่อศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อช่วยอนุเคราะห์คนอื่นให้เข้าใจธรรม ไม่ใช่ช่วยอย่างอื่นเลย ถ้าช่วยอย่างอื่นเป็นหน้าที่ของคนอื่นซึ่งเป็นคฤหัสถ์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นใคร แต่ภิกษุช่วยยิ่งกว่านั้นอีก คือ ช่วยให้เขาได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว ไม่ใช่ไปหุงข้าวต้มปลาช่วยเขาหรืออะไรอย่างนั้น นั่น ไม่ใช่กิจของภิกษุ
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสละอะไรที่เสด็จออกจากพระราชวัง? เพื่อใคร? แล้วภิกษุคือใคร? ถ้าไม่ใช่บุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ขอประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ไม่ใช่ว่าใครอยากบวชก็บวชได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตให้เป็นไปตามจุดประสงค์ด้วยว่าบวชทำไม? ไม่บวชก็เข้าใจธรรมได้มิใช่หรือ?
~ ทุกคนไม่เท่ากันตามการสะสม แต่ว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ พรรษา ทุกคำเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน ไม่ว่าเขาจะสะสมมามากน้อยเพียงใด ด้วยเหตุนี้ ๔๕ พรรษา มีทุกอย่าง ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพ่อค้าหรือแม้เป็นโจร ก็อยู่ในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด เพื่อเกื้อกูลอุปการะตามสมควรที่ฐานะของเขาจะสามารถเข้าใจได้ โจรใจร้ายก็มี ใช่ไหม เหี้ยมโหด แล้วโจรที่ดีหน่อยก็ยังมี เหลืออะไรไว้ให้เจ้าของบ้านบ้างก็ยังมี เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ๔๕ พรรษา สอนทุกคนตามระดับขั้นที่เขาสามารถจะรับรู้ได้
~ ความดี ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ความชั่ว ก็ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร เห็นถูกก็เป็นเห็นถูก ไม่ว่าใครยากจนสักเท่าไหร่แต่เห็นถูก ความเห็นถูกก็ยังคงเป็นความเห็นถูก ถ้าความเห็นผิดเกิดขึ้นไม่ว่าเขาเป็นใคร ความเห็นผิดก็ต้องเป็นความเห็นผิด เพราะฉะนั้น ธรรมตรงที่สุด
~ ขณะเกิดเป็นผลของกรรมหนึ่งในบรรดากรรมทั้งหลายมากมายเยอะแยะ ถึงเวลาพร้อมที่จะให้เกิดเมื่อไหร่ชาติไหนอายุยืนยาวหรือสั้นแค่ไหน ก็ไม่มีใครสามารถที่จะเลือกได้
~ ตาย หมายความว่าอะไร? หมายความว่า สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้จะเป็นบุคคลนี้อีกต่อไปสักหนึ่งขณะก็ไม่ได้ เกิดแล้วต้องตาย ดำรงความเป็นบุคคลนี้ตั้งแต่เกิดจนถึงขณะสุดท้าย ก็ตาย แต่ว่าระหว่างเกิดกับตาย มีแต่ละขณะ ขณะเห็นไม่ใช่ขณะได้ยิน เพราะฉะนั้น มีคำว่า ขณิกมรณะ (ตายทุกขณะ) ตายเหมือนกัน ดับไปไม่กลับมาอีกเลยเหมือนกัน สูญ หรือ สุญญตา (ว่างเปล่า) เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เอง ทุกคำคือเดี๋ยวนี้ทั้งหมด
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่าน...
อนุโมทนาการฟังการสนทนาที่สู่สังคมแด่ทุกฐานะอาชีพตามฐานะปุถุชนผู้ขัดเกลากิเลสที่สะสมมาตั้งแต่ก่อนศึกษาอภิธรรม ท่านอาจารย์กล่าว อนัตตาคือไม่มีใคร คนยากจนเมื่อเห็นถูกคือความเห็นถูก ความเห็นผิดคือความเห็นผิด ไม่ใช่ใครเลย
กราบอนุโมทนาทุกท่านที่เป็นโอกาสได้เรียนรู้และเข้าใจธรรมะในชีวิต สังคมเป็นความเข้าใจจริงๆ แล้วตามธรรมะทั้งสิ้นค่ะ