ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๘๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๘๖ * *
~ พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่มีเหตุผล แต่ว่าต้องเป็นผู้พิจารณาเหตุผลโดยละเอียดรอบคอบจริงๆ เพราะมิฉะนั้น จะไม่ทราบเลยว่า เพียงสนใจและขวนขวายในการที่จะถือมงคลตื่นข่าว แม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้ไกลต่อการที่จะยึดมั่นในกรรมของตน เพียงแค่สนใจขวนขวายนิดหน่อย ก็จะเป็นทางที่จะทำให้เกิดความสนใจหรือเกิดการที่จะเห็นผิด ขาดการที่จะพิจารณาในเหตุผล ในที่สุดก็จะทำให้ค่อยๆ เคลื่อนจากการเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม แล้วเมื่อเคลื่อนจากการเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม ก็จะห่างไกลจากธรรมไปทุกที
~ ควรที่จะเจริญกุศล เพื่อที่จะเป็นที่พึ่งของตนเองจริงๆ
~ ต้องพิจารณาว่าท่านเองเป็นผู้ที่พ้นจากมงคลตื่นข่าวในชีวิตประจำวันจริงๆ หรือว่ายังมีจิตใจโอนเอียงที่จะขวนขวายในการถือมงคลตื่นข่าว แม้เพียงเล็กน้อย นิดๆ หน่อยๆ ซึ่งก็จะเพิ่มมากขึ้นๆ ได้ทีละเล็กทีละน้อย นี่เป็นการเกิดขึ้นและเป็นการเจริญเติบโตของความเห็นผิด
~ การที่จะเป็นพุทธศาสนิกชนจริงๆ ก็จะต้องพิจารณาให้รู้ว่า ธรรมใดเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่พิจารณาจริงๆ ก็จะไม่พ้นไปจากความเห็นผิดหรือมงคลตื่นข่าว ซึ่งถ้ามีความสนใจนิดหนึ่ง ก็จะพาไปสู่ความสนใจและความขวนขวายยิ่งขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนในที่สุดก็จะไม่แสวงหาพระธรรมที่แท้จริง และจะไม่พิจารณาเหตุผลโดยละเอียด
~ ตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่มีจริง เปลี่ยนไม่ได้ จะเป็นใครก็ไม่ได้ จะเป็นของใครก็ไม่ได้ ต้องเป็นสิ่งนั้นซึ่งเกิดปรากฏแล้วก็หมดไป
~ จากไม่เคยรู้มาก่อน ไม่คิดมาเลยตั้งแต่เกิด ว่า จะสามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ได้ เกินความคาดหมาย เกินความคิด แต่ก็เหมือนปาฏิหาริย์ (อัศจรรย์) เมื่อได้ฟังคำที่เกิดจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่แค่คิดแต่ตรัสรู้ประจักษ์แจ้งในทุกคำที่พระองค์ได้ตรัส จึงได้ตรัสตามที่พระองค์ได้ประจักษ์แจ้ง เปลี่ยนไม่ได้เลย
~ เมื่อเช้าอาหารอร่อยไหม? เครื่องรางไหนทำให้อาหารอร่อย? แล้วจะบอกว่าเครื่องรางบันดาลให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ได้หรือ?
~ ข้อสำคัญที่สุด อะไรที่บอกว่าเป็นเครื่องราง? ก็มองเห็นอยู่ว่าเป็นตะกั่ว เป็นผ้ายันต์หรือเป็นอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด ทำเป็นนกก็มี แล้วแต่จะทำกันขึ้นมา แล้วสิ่งนั้นแท้จริงคืออะไร? มีอิทธิพลอะไร สามารถบันดาลอะไรได้? เหลวไหล ไร้สาระ
~ วัตถุมงคล เป็นสัญลักษณ์ของความไม่รู้
~ ประมาทกันเยอะไหม? เห็นไหม กว่าจะรู้ตามความเป็นจริง จึงไม่ประมาทที่จะฟังพระธรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจ ไม่ใช่เราสามารถจะเข้าใจ แต่การพิจารณาไตร่ตรองในความจริง จะนำมาซึ่งความเห็นถูก
~ เรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ที่จะละคลายกิเลสเป็นเรื่องที่ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปจริงๆ แม้แต่ในขั้นของความเข้าใจ ถ้าจะตามฟังพระธรรมอยู่เรื่อยๆ พิจารณาธรรมอยู่เรื่อยๆ ก็จะเห็นได้ว่า ความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากตอนต้นนี้มาก แต่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่ไม่มีกำหนดรู้ได้ว่า เพิ่มขึ้นมากในตอนไหน แต่จะต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเรื่อยๆ
~ ถ้ามีความเห็นถูกเกิดขึ้น ย่อมเห็นว่าสิ่งใดเหมาะ สิ่งใดควร และข้อปฏิบัติใดจะเป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะเป็นหนทางที่ยาว แต่เริ่มต้นหรือตั้งต้นและดำเนินไปเรื่อยๆ ในหนทางที่ถูก ก็ดีกว่าไปติดอยู่ในหนทางที่ผิด ซึ่งไม่มีโอกาสจะทิ้งและหันมาสู่หนทางที่ถูกได้
~ ถ้ามีคนชั่วหรือคนที่เห็นผิดเป็นมิตร ย่อมคล้อยตามความเห็นนั้นๆ ได้ เพราะถ้ามีเพื่อนที่เห็นผิด ก็จะชักชวนให้ฟังในเรื่องที่ผิด แล้วก็ชักชวนไปสู่สถานที่ซึ่งมีการเห็นผิดการปฏิบัติผิด
~ กุศลพร้อมที่จะเกิดจริงๆ ด้วยประการหนึ่งประการใด เมตตาก็เกิดได้แทนที่จะไม่อดทน ทางวาจาก็ยังสามารถที่จะเกื้อกูลในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ในสิ่งที่เป็นเหตุผล แทนที่ขณะนั้นจะมีแต่อกุศลวิตก (ตรึกไปในทางที่เป็นอกุศล) ที่เห็นแต่ความไม่น่าพอใจของคนอื่น
~ ทุกคนก็โกรธ แต่ว่ามีใครบ้างที่จะอภัย แล้วมีใครบ้างที่จะเห็นโทษของอกุศล แม้แต่เพียงการรังเกียจในกายวาจาของบุคคลอื่น ก็เป็นอกุศลแล้ว แทนที่จะเป็นมิตร เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นมิตร ต้องไม่มีความรังเกียจ แม้ว่าบุคคลนั้นจะมีกายวาจาที่ไม่น่าพอใจ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าบุคคลอื่นจะแสดงกายวาจาอย่างไรก็ตาม ผู้นั้นก็ยังเห็นประโยชน์ของเมตตาบารมี
~ ต้องย้อนกลับมาที่ธรรม ทุกครั้งที่ฟัง ว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา จึงใช้คำว่าธรรม กลับมาที่เดี๋ยวนี้ เพื่อให้เข้าใจว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่ใช่เรา และเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้
~ ต้องอาศัยการสะสมอบรมเจริญปัญญาไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ลองคิดถึงว่า ถ้าไม่ฟังเลย จะเป็นอย่างไร จะคงยังมีความเห็นผิดอยู่ และไม่มีหนทางที่จะละความเห็นผิด ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วโดยละเอียด
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ การที่สามารถรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะเหตุว่า คำของพระองค์จะดำรงต่อไป ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่เข้าใจถูก ถ้าผู้ใดก็ตามไม่เข้าใจธรรม พูดไม่จริง คำไม่จริง ไม่ตรงตามความเป็นจริง คำนั้นทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ทางวาจา กิเลสก็มีกำลังที่จะทำให้กระทำวจีทุจริตได้ มุสาวาท พูดสิ่งที่ไม่จริง กุศลจิตจะทำให้ทำอย่างนี้ไหม? ไม่เลย มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพูดสิ่งที่ไม่จริง แต่เพราะอกุศลจิตมีกำลัง จึงทำให้พูดในสิ่งที่ไม่จริง ใครรู้ว่ากำลังพูดในสิ่งที่ไม่จริง คนที่กำลังพูดทราบใช่ไหม ว่ากำลังพูดในสิ่งที่ไม่จริง ในขณะนั้นเป็นอกุศลจิต
~ ถ้าแต่ละคนสงบ ประเทศชาติก็สงบ สังคมก็สงบ เพราะฉะนั้น อยู่ที่แต่ละคนสงบหรือเปล่า เมื่อไม่สงบจึงทำให้ทุกอย่างไม่สงบไปด้วย เพราะแต่ละหนึ่งคนไม่สงบ
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ป้องกันผู้ที่ศึกษาด้วยความเคารพไม่ให้เห็นผิดไม่ให้เข้าใจผิด
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๘๕
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อนุโมทนาค่ะ